แชร์ประสบการณ์หลงป่า ตอนที่ 3

แชร์ประสบการณ์หลงป่า ตอนที่ 3

เอาหละครับ หลังจากที่ห่างหายกันไปน๊านนาน ผมเพราะคอมผมเสียฮ่าๆ เอาละครับนอกเรื่องไปหลายโพสแล้ว ก็มาต่อกันที่จะทำยังไงเมื่อหลงป่า ประสบการณ์หลงป่านี้ผมบอกไว้ก่อนเลยนะครับไม่ใช่ประสบการณ์ของผมเเต่เป็นของ น้าคนหนึ่งที่ผมรู้จักเเละเคารพแก แกได้อณุญาติให้ผมนำเรื่องราวต่างๆเหล่านี้มาเเชร์แบ่งปันให้กับพี่น้องที่ผ่านมาได้อ่านได้เป็นวิทยาทานความรู้ในเวลาที่ได้ประสบเหตุการณ์จริงจะได้มีพื้นฐานในการเอาตัวรอดได้ หรือจะอ่านเอาสนุกเป็นบทความที่ให้ความเพลิดเพลินในยามว่างที่แวะเวียนเข้ามาในเวปนี้นะครับ เอาละทักทายกันพอสมควรเเล้วจัดเลยละครับเพื่อมิให้เสียนาฬิกา เอ้ย!เสียเวลาจัดไปครับ


ตอนที่ 3 

หลังจากที่ตรวจสอบสุขภาพโดยรวมเรียบร้อย ผมก็สวดมนต์และบริกรรมคาถาเพื่อความอุ่นใจและเป็นการสร้างกำลังใจให้ตัวเอง เพราะอย่างที่ผมเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ การที่จะเอาตัวรอดได้จากการหลงป่าเพียงลำพัง นอกจากมีทักษะแล้ว ยังต้องมีกำลังใจที่ดีด้วย เพราะจากที่ผมเคยได้ฟังถึงเรื่องราวเล้นลับในป่า เมื่อนึกถึงก็ทำให้ใจแป้วเอาเหมือนกัน ดังนั้นการที่ผมสวดมนต์บริกรรมคาถาก็สามารถช่วยในด้านของจิตใจยามอยู่คนเดียวในป่าได้พอสมควร จากนั้นผมก็ขึ้นเปลนอน ผมนำมีดพกเล่มที่ถนัดมือมานอนกอดเพื่อความอุ่นใจ เพราะถึงเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ มันก็มีส่วนช่วยให้ผมหลับตาลงได้ ผมนอนวางแผนการปฏิบัติไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ ว่าผมต้องทำอะไรบ่าง เพราะการมีแผนสำหรับวันต่อไปจะช่วยเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดให้เราได้เป็นอย่างดี สิ่งที่ผมนึกถึงเป็นอย่างแรกที่จะต้องทำก่อนในวันพรุ่งนี้ คือ การหาน้ำเติมกระติกให้เต็ม เพราะน้ำในกระติกของผมตอนนี้ เหลือไม่ถึง ๓ ใน ๔ ส่วนของกระติก ถือได้ว่าเข้าขั้นวิกิตแล้ว อย่างที่ ๒ ที่ต้องทำ คือ การหาอาหาร ถึงผมจะเหลือ ซุปอีก ๓ ซอง แต่เพราะวันนี้ผมยังไม่สามารถหาเต็นท์ได้เจอ ผมจึงต้องเก็บ ซุปทั้ง ๓ ซองนี้ไว้ใช้เมื่อยามจำเป็นอย่างที่ ๓ คือการออกตามหาเต็นท์อีกครั้ง แต่ถ้าหากยังไม่เจอ ผมต้องยกเลิกภาระกิจ แล้วหาทางออกจากป่าให้ได้ จากนั้นผมก็ม่อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการฝ่าดงมาในวันนี้ 
รุ่งเช้าเสียงนาฬิกาปลุกแห่งธรรมชาติก็ทำงานได้ตรงเวลาเช่นวันก่อนๆ เสียงไก่ป่าขันกับเสีงนกกาหว่าวร้องผมตืนขึ้นพร้อมเก็บข้าวของ และเปล เพราะวันนี้คงต้องอดอาหารไปก่อน ผมจิบน้ำในกระติกพอแก้กระหาย หลังจากนั้นผมก็นึกทบทวนแผนที่คิดไว้ก่อนนอนเมื่อคืน คือ หาน้ำ , หาอาหาร และ หาเต้น ในการหาน้ำ สำหรับผมไม่ใช่เรื่องยาก เพราะผมมีทักษะอยู่พอตัว หลักการที่ผมใช้ในวันนั้นคือการสังเกตุ และทำความเข้าใจในภูมิประเทศ แต่การหาอาหารนี่ซิ สำหรับผมอาจจะลำบากสักหน่อยในตอนนั้นระหวางเดินผมพบเห็ดขึ้นอยู่มากมาย แต่ผมไม่รู้จักเลยสักชนิด รู้แต่ว่าเห็ดบ่างชนิดมีพิษ ทำให้คนตายมาแล้วนักต่อนัก ดังนั้นอะไรที่ผมไม่รู้จัก หรือไม่แน่ใจว่ามันสามารถกินเข้าไปได้ ผมจะไม่มีวันเอาใส่ปากเด็ดขาด ในการทำกับดักสำหรับดักสัตว์เล็กก็ไม่เหมาะกับสถานการณ์ในวันนี้ เพราะสัตว์จะติดกับดักหรือไม่ติดนั้น มันแล้วแต่โชคของเรา และความซวยของสัตว์ อีกทั้งผมไม่ได้ปักหลักอยู่กับที่เป็นวันๆ เพราะต้องเดินออกตามหาแหลงน้ำ กับ เต็นท์ที่ยังหาไม่เจอ ดังนั้นคงเหลือวิธีการเดียวคือ การล่า ในการล่าผมต้องการแค่การอยู่รอด ดังนั้นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่จึงไม่ใช่เป้าหมาย ผมจะล่าแต่สัตว์เล็กเท่านั้น เช่น แมลง หนอนที่กินได้ นก หนู กระรอก หรือ งูที่มีขนาดไม่ใหญ่มากจนกินไม่หมด ต้องเป็นสัตว์ที่ผมสามารถล่าแล้ว พามันติดตัวไปได้ เพราะผมคงไม่แบกหมู่ป่าเป็นตัวๆเดินหาแหล่งน้ำแน่ๆ อีกทั้งผมเองก็หลงป่าอยู่คนเดียว สัตว์ป่าที่มีขนาดใหญ่ก็เกินความจำเป็น เมื่อนึกถึงการล่า ก็ต้องมีอุปกรณ์ ในกระเป๋าฉุกเฉินของผมมียางหนังสติ๊ก + หนังรองกระสุน พร้อมลูกเหล็กขนาด ๔ มิลลิเมตร อยู่ประมาณ ๒๐ - ๓๐ ลูก ขาดก็แต่ง่ามหนังสติ๊ก ผมเลยเดินหาไม้รอบๆที่พัก ที่มีลักษณะเป็นง่านพอเหมาะมือ เพื่อมาทำหนังสติ๊กสำหรับการล่าสัตว์เล็ก พอทำเสร็จผมเก็บก้อนกรวดที่มีอยู่รอบๆ และมีลักษณะค่อนข้างกลม มาใช้ในการทดสอบ และสร้างความเคยชิน เพื่อความแม่นยำในการยิง ต่อมาผมเหลือบดูที่นาฬิกาข้อมือ เวลาเกือบ ๘ โมงเช้าแล้ว ผมรีบดับกองไฟที่ใกล้มอดให้ดับสนิท แล้วออกเดินทางหาแหล่งน้ำ ในการหาแหล่งน้ำผมจะพยายามมองหาพื้นที่สูงๆ เพื่อง่ายต่อการสังเกตุการทางสายตาได้ในระยะไกลๆ เพื่อมองหาดงของต้นไม้ที่ชอบขึ้นอยู่ตามริมน้ำและมีลักษณะขึ้นเป็นดงใหญ่ๆ เช่น ต้นยางนา , ต้นกระทุ่มน้ำ , ต้นตะแบก ในการสังเกตุหาเราเห็นดงต้นไม้ตามที่ว่า ขึ้นอยู่ในพื้นที่ราบ หรือบริเวนหุบเขา ก็มันใจได้เลยว่า ไม่ไกลจากดงไม้นั้นจะมีแหล่งน้ำอยู่อย่างแน่นอน แต่หากพบมันอยู่บนพื้นที่ๆมีความลาดชัน ก็จะมีน้ำเหมือนกัน แต่มันจะอยู่ใต้ดินเราคงต้องเสียเวลาขุดหามัน เว้นแต่พื้นที่นั้นมันจะเป็นแอ่งกระทะ ในระหว่างที่ผมเดินเพื่อหาจุดที่จะขึ้นไปสังเกตุการหาพื้นที่ๆมีแหล่งน้ำ ผมก็จะพยายามมองสังเกตุรอบๆตัวเพื่อหา เถาวัลน้ำ และสัตว์ที่ผมสามารถใช้หนังสติ๊กยิงมันได้ไปด้วย เดินมาจนเกือบบ่ายโมง ผมก็ยังไม่พบแหล่งน้ำสักที น้ำในกระติกที่เหลือก็จวนเจียนจะหมด นกหนูก็ไม่โผล่ออกมาให้ยิงสักตัว ทั้งเหนื่อยทั้งหิวผมเริ่มมองหาที่เหมาะๆเพื่อที่จะนั่งพักเหนื่อยสัก ๑๐ - ๒๐ นาที ระหว่างที่ผมกำลังเดินไปที่จุดที่ผมตั้งใจจะหยุดพัก ผมก็เหลือบไปเห็น ต้นปอหูช้างขึ้นกันอยู่เป็นดงเลยที่เดียว และมันเป็นสัณญานบอกว่า มีแหล่งน้ำอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้ เพราะต้นปอหูช้างมันก็เป็นพืชที่ชอบขึ้นอยู่แถวๆที่มีน้ำเหมือนกัน ผมจึงเปลียนใจไม่หยุดพัก ผมเดินเข้าไปในดงต้นปอหูช้างทันที แล้วก็เป็นอย่างที่คาด ผมเจอทางน้ำเล็กๆ ผมหยุดเพื่อซุ่มดูอยู่สักระยะ เพราะทางน้ำเล็กๆ มันก็เป็นเหมือนจุดแวะพักดืมน้ำของสัตว์ต่างๆเหมือนกัน รวมถึงสัตว์นักล่าอย่างเสือดาว หรือเสือโคร่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีสัตว์ที่เป็นอันตรายซ้อนตัวอยู่ ผมจึงออกไปแล้วสำรวจน้ำในทางน้ำว่ามีลักษณะอย่างไร ต้องกรองก่อนหรือไม่ เมื่อสำรวจแล้วว่าน้ำใสดี ผมก็เอาน้ำในกระติกที่เหลือออกมาดืมให้หมด จากนั้นก็หาเศษไม้มาก่อไฟกองเล็กๆเพื่อต้มน้ำ ด้วยการใช้ก้นกระติกต้มแล้วกรอกลงกระติกที่ละครั้ง จนเต็มกระติก ในระหว่างการต้มน้ำผมจะไม่ถอดหรือปลดสำภาระใดๆออก และเตรียมพร้อมตื่นตัวอยู่เสมอ ผมต้องคอยระวังภัยจากสัตว์ป่าที่จะอาจจะเข้ามาดืมน้ำ เพราะบริเวณนั้นมีรอยเท้าสัตว์เต็มไปหมด โดยเฉพาะรอยเท้าหมูป่า และกวางที่อยู่กันเป็นฝูง ถึงจะเป็นกวางก็อันตรายหากต้องเจอมันทั้งฝูง และอยู่ในระยะประชิด จ่าฝูงมันต้องเล่นงานผมแน่ๆ การที่ไม่เอาอุปกรณ์ใดๆออกจากตัวเป็นการระวัง เผื่อผมต้องใส่ตีนหมาวิ่งหนีอะไรอีก จะได้ยังมีของที่จำเป็นใช้ในยามฉุกเฉิน เพราะหากผมเสียกระเป๋ายังชีพไปอีก ทีนี้คงต้องทำตัวย้อนเป็นมนุษย์ยุคหิน หาของมาประดิษกันให้วุ่นวายอีก เมื่อผมได้น้ำจนเต็มกระติกแล้ว ทีนี้ก็ถึงคราวที่ต้องออกหาเต็นท์พร้อมกับหาอาหารไปด้วยตามทางที่เดิน เพราะผมเหลือเวลาสำหรับวันนี้อีกไม่มาก ก็ใกล้จะถึงเวลาของการเตรียมตั้งแค้ม เดินออกมาจากทางน้ำหลายกิโล ผมยังไม่เจอ นก,หนู หรืออะไรที่กินได้ซักที วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร เหมือนว่าพวกสัตว์มันจะรู้ว่าผมมีหนังสติ๊กเลย พอเดินต่อไปสักพักผมก็เจอป่าไผ่ไม้รวก ผมนึกถึงหน่อไม้ขึ้นมาทันที จากนั้นก็เข้าไปหาได้มา ๕ - ๖ หน่อ ผมเอาใส่กระเป๋าข้างกางเกงไว้ ระหว่างที่กำลังหาต่อ ผมสังเกตุเห็นความเคลื่่อนไหวบริเวณก่อไผ่ ฝั่งตรงข้ามเลยเดินเข้าไปดู มันคือ งูหลาม ขนาดไม่ใหญ่ ขนาดตัวมันประมาณถ่านไฟฉายก้อนใหญ่ ยาวประมาณเมตรนึง และมันก็คืออาหารของผม พร้อมกับหน่อไม้ที่หาได้ ผมตัดหัวมันทิ่ง เพื่อให้แน่ใจว่ามันตายสนิทเพราะผมต้องเอามันพันคอไว้ในระหว่างการเดินออกตามหาเต็นท์ต่อ ผมเดินตามหาเต็นท์จนหมดเวลา ถึงเวลาที่ต้องตั้งแค้มแล้ว ผมยังไม่เห็นวี่แววของเต็นท์ หรือเส้นทางที่คุ้นหู คุ้นตาเลย หรือกระทั่งล่องรอยของมนุษย์ก็ไม่มี ผมหาทำเลเพื่อผูกเปลตั้งแค้มพัก และก่อกองไฟย่างงูและหน่อไม้ เมื่อผมผูกเปล และ ก่อไฟเสร็จ ผมก็เริ่มถลกหนังงูโดยวิธี ใช้มีดเล่มเล็กปักตรงเนื้อส่วนที่ตัดหัวทิ้งไปไว้กับต้นไม้ จากนั้นก็รูดหนังออกทางปลายหางงู แล้วจึงฟักเครื่องในออก โยนใส่ก่องไฟไป เราไม่ควรทิ้งซากสัตว์ที่ชำแหละ เพราะกลิ่นของมันจะไปไกลหลายกิโลเมตร และมันอาจจะเป็นสิ่งที่พาสัตว์กินซากอย่างหมาไน มาพบกับผมเป็นการส่วนตัว และผมไม่อยากเจอมัน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือเอาชิ้นส่วนของงูที่ผมไม่กินโยนใส่กองไฟไปซะดีกว่า ผมนำไม้ไผ่สดที่ผมตัดมาผ่าออก แล้วเอาเนื้องูโรยเกลือที่ผมมีมาในกระเป๋าอีกนิดหน่อย ขดเอาไม้ไผ่คีบตรงกลาง แล้วย่างไฟ ส่วนหน่อไม้ก็โยนใส่ไปในไฟเลย จากนั้นผมก็สำรวจสุขภาพตัวเองตามปกติ พร้อมฆ่าเวลาด้วยการเก็บก้อนกรวดมาซ้อมยิงหนังสติ๊ก เพื่อให้ชำนาญขึ้น แม่นยำขึ้น เพราะในการเดินต่อในครั้งหน้า ผมอาจจะอยู่ในสถานที่ๆไม่มีก้อนกรวดก็ได้ แล้วอาจต้องใช้ลูกเหล็กที่มีอยู่จำกัด ดังนั้นความแม่นยำเป็นสิ่งสำคัญ พอเนื้องู และ หน่อไม้สุก ผมเริ่มแกะหน่อไม้กินก่อน แต่หน่อไม้มันข่มเสียจนกินไม่ได้ แต่ยังดีที่มีเนื้องูหลาม ไม่งั้นวันนี้ผมคงต้องทนกินหน่อไม้ขมๆแน่ๆ ผมตัดเอาเนื้องูออกมากินประมาณครึ้งตัว ส่วนที่เหลือผมเอาอังไฟไว้ให้มันแห้ง เพื่อเก็บไว้กินได้ต่อในวันพรุ่งนี้ ส่วนหน่อไม้ ผมเอามาฉีกออกเป็นเส้นๆ ใส่ถงซิบที่ผมมีมาในกระเป๋า เอาเก็บไว้หากเจอแหล่งน้ำคราวต่อไป ผมจะได้เอามาต้มให้หายขม เมื่อผมกินเสร็จแล้ว ก็เตรียมตัวนอนพักเอาแรง แต่ในคืนวันนี้ ผมมีปัญหากับยุงและแมลงที่เยอะจนหน้าลำคาญ ผมจึงออกเก็บกิงไม้ที่มีใบไม้สดติดอยู่ แล้วขยายกองไฟออกมาอีกกองเอาไว้เหนือทางลมจากจุดที่ผมผูกเต็น ผมเอากิ่งไม่ที่มีใบไม้สดใส่กองไฟเพื่อให้เกิดควัน เพื่อไล่แมลง และยุง จากนั้นจึงขึ้นเปลนอน

ติดตามชมกันตอนต่อไปนะครับ
เอาหลังครับจนกันไปสำหรับตอนที่ 3 นะครับ ตื่นเต้นกันพอสมควรจากนี้เป็นประมวลภาพในเหตุการนี้นะครับจะได้ไม่ต้องเสียเวลาค้นข้อมูลฮ่าๆ เพราะบางอย่างท่านผู้อ่านก็ไม่รู้จักเอาละครับ มาดูรูปกันรูปนี้ไม่ใช่รู้จริงในเหตุการนะครับ เเต่เป็นรูปที่ยกตัวอย่างมาเพื่อให้เป็นความรู้เสริมเท่านั้นเอง

เถาวัลย์ น้ำ นะครับ








ปอหูช้างครับ







ตะเเบกครับ



งูหลามครับ

อันนี้ยางนาครับ



สุดท้ายต้นกระทุ่มน้ำครับ



ก็จบไปเเล้วนะครับสำหรับพาสนี้ เจอกันใหม่พาสหน้าตอนหน้าครับ ขอบคุณที่ติดตามกัน DANTE

น้ำจากต้นไผ่

น้ำจากต้นไผ่


เอาหละครับวันนี้เราจะมาดูวิธีหาน้ำจากต้นไผ่เมื่ออยู่ในป่า นอกจากจะใช้ดื่มได้แล้วนี้ยังสามารถใช้รักษาโรคและยังดีท็อคได้ด้วยนะครับโอ้โหสรรพคุณนี้ครอบจักวาล จริงๆ ดูได้จากในรูปเลยนะครับ เพราะว่าเมื่อเราเข้าป่าไปนั้น เราต้องใช้ไผ่ในการก่อไฟทำอาหาร ทำอาวุธและหลายๆอย่างเรียกว่าไผ่นี้ครอบจักวาลเลยจริงๆ ขนาดบินยังบินได้เลยจากไม้ไผ่ ก็ค็อปเตอร์ไม้ไผ่ของโดเรม่อนไงครับ 555 นอกเรื่องไปแล้ว เอาว่าเวลาเราหาที่พักพิงตั้งแคมป์เราย่อมมองหาต้นไผ่หรือกล้วยมาใช้เป็นอุปกรณ์ธรรมชาติในการเป็นตัวช่วยอำนวยความสะดวกอยู่แล้วไม่ว่าในด้านให้ๆวันนี้ ดันเต้ ก็เลยขอเสนอวิธีหาน้ำจากไผ่กันซะเลยเผื่อว่าที่ใหนขลาดแคลนน้ำหรือต้องการน้ำไผ่ครอบจักวาล 555 อันนี้จริงครับไม่ได้ล้อเล่น มาดูวิธีกันครับ


วิธีเเรกนะครับ


เวลาเป็นสิ่งสำคัญเพราะไผ่นั้นจะคายน้ำตอนช่วงดึก ดังนั้นเวลาที่เหมาะสมที่จะเอาน้ำจากต้นไผ่ก็คือ 1.00-3.00. เราจะใช้มีดหรือ คัดเตอร์ที่คมๆหน่อยตัดให้เป็นปากฉลามหรือเฉียงๆเหมือนในรูปแล้ว ใช้ถุงพลาสติดครอบไว้มัดให้แน่ รุ่งเช้าก็มาเก็บได้ครับ แต่ต้องเลือกไผ่ที่ไม่อ่อนหรือแก่เกินไปนัก ส่วนการเก็บน้ำไผ่จะเก็บในช่วงเช้าเวลาประมาณ 6-7 นาฬิกา ซึ่งจะได้น้ำไผ่ที่บริสุทธิ์ ข้อระวังที่สุดคือ ในระหว่างการตัดปลายยอดอย่าให้ลำต้นแตกอย่างเด็ดขาด เพราะน้ำไผ่จะไม่ไหลออกมาในส่วนที่ตัดไว้ แต่จะไปไหลออกในจุดที่แตก ปริมาณน้ำไผ่แต่ละกอจะได้ประมาณ 1-4 ลิตร ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของก่อไผ่ และสภาพอากาศ ยิ่งอากาศชื้นฝนตกมากไผ่ก็จะคายน้ำออกมามาก โดยสามารถทำได้กับไผ่ทุกสายพันธุ์ที่มีอายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป





วิธีที่สอง

ส่วนวิธีที่สองนั้น จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เยอะหน่อยครับ คือ สว่าน ดินน้ำมัน สายางหรือท่านผู้อ่านท่านได้สามารถเอาเหล็กเเหลมหรือมีเจาะได้นั้นก็สุดเเล้วแต่ความสามารถนะครับ
ขั้นเเรกใช้ สว่านเจาะต้นไผ่เลยครับ เเต่ต้องเจาะ ที่ใต้ข้อ ให้ทะลุขึ้นไปข้างบนของอีกปล้องเลยนะครับตามรูปครับ


จากนั้นใช้สายยางที่เตรียมไว้สอดเข้าไปครับ เเต่อย่าสอดเข้าไปเยอะนะครับ นิดเดียวพอเดี๋ยวเลยน้ำจะไม่ออกเอา


เเน่นอนว่าสายอาจหลุดได้ให้ใช้ดินน้ำมัน หรืออะไรเหนียวๆติดไว้ครับ


จากนั้นก็ใส่ถุง หรือผูกถุงให้ดีนะครับ อาจใช้เชือกมันติดกับข้อไผ่ด้านบนหรือ ใช้ถุงพลาสติกซ้อนกันเเล้วค่อยผูกก็ได้เเล้วเเต่ความสะดวกของเเต่ละพื้นที่ครับ 


เสร็จเรียบร้อยครับผม พรุ่งนี้เช้าก็สามารถมาเก็บน้ำไปใช้ได้เเล้วครับ 

จากนี้เป็นคุณประโยชน์เเละวิธีใช้น้ำไผ่ครับ

ประโยชน์อย่างแรกคือสามารถดื่มได้ แทนน้ำเปล่าในเวลาขลาดแคลนน้ำ และประโยชน์อย่างที่สองคือสามารถรักษาโรคได้นั้นแนะ!!น่าสนใจแล้วนะครับตอนนี้   น้ำในไผ่นั้นว่ากันว่าสามารถตรวจเช็คร่างกายได้ว่าเราเป็นนิ่วหรือไม่ และหากเป็นแล้วสามารถสลายนิ่วได้
วิธีเช็คคือ หากดื่มน้ำไผ่ทั้งวันนั้น ถ้าเกิดอาการฉี่ไม่ออกในตอนเย็น หรือ ฉี่แล้วแสบร้อน นั้นแสดงว่าคุณเป็นนิ้วครับ มันจะขับออกมาทางน้ำปัสสาวะเลย แต่ถ้าเราเป็นนิ้วแล้วไม่เกิดการขับออกมาในปัสสาวะมันก็จะค่อยๆสลายลงไปครับ   อย่างที่สอง คือปวดหลังยืนนานๆแล้วปวดหรือ ปวดแป๊ปๆนั้น เกิดจากนิ่วในไต ทำให้ปวดหลัง แต่ถ้าฉี่บ่อยตอนกลางคืนเกิดจากนิ้วในถุงน้ำดี หรือระบบทางเดินปัสสาสวะ น้ำไผ่ช่วยได้ครับ นั้นแนะ สรรพคุณยังไม่หมดนะครับ ยังมีอีกคือ แก้ไข้
ไข้ป่า มาลาเลีย ช่วยได้ครับ แม้แต่ประจำปี เอ้ย!! ประจำเดือนมาไม่ปรกติของสาวๆก็ช่วยได้ครับ
ต่อมาโอ้โห่ !!ยังครับยังไม่หมด สามารถใช้ ล้างหน้าให้ผิวสวยได้ด้วย และยังใช้ล้างหมึกปากกา หรือปากกาเมจิก็สามารถล้างได้ เพราะเค้ามีคุณสมบัติ ชะล้างสารพิษครับ
ใช้ล้างผักครับอันนี้แน่นอนเลย สุดยอดมาก น้ำไผ่นั้นมี ฤทธฺ์ เป็นกรด ค่า ps นั้นอยู่ที่ 5-6 ในตอนเก็บมาแรกๆ แต่เมื่อแช่ตู้เย็นแล้วจะเหลือที่ 4-5 ps ครับ
น้ำไผ่นั้นถ้าจะให้ดีก็ดื่มตอนนั้นเลยครับ เพราะมันไม่สามารถเก็บไว้ได้ หากคิดจะเก็บไว้ ก็ต้องแช่ตู้เย็นอย่างเดียวครับ หากอยู่ในอุณภูมิปรกติ จะอยู่ได้แค่ 4-5 ชั่วโมงเท่านั้นและจะเริ่มมีรถเปรี้ยวเพราะเค้ามี จุลินทรีย์ สูงมากหากเก็บไว้ในตู้เย็นก็ไม่ควรจะเกิน 3-4 วันครับ หากใครเป็นนิ่วก็ควรดื่มบ่อยๆนะครับ แต่สำหรับบางคนที่ดื่มแล้ว ไม่เกิดอะไรขึ้นเลย ผมก็ยินดีด้วยครับ ร่างกายคุณปรกติ
 
จบแล้วนะครับเรียกได้ว่าต้นไผ่นี้มีประโยชน์จริงๆเลย นี้คือความรู้เล็กๆน้อยเป็นภูมิปัญญาโบราณที่ ผมได้ศึกษาแล้วน้ำมาให้ท่านได้อ่าน บทความนี้จะพอมีประโยชน์ ต่อท่านบ้างไม่มากก็น้อย ขอบคุณที่ติดตามกันครับ DANTE



ประสบการณ์หลงป่า ตอนที่ 2

ประสบการณ์หลงป่า ตอนที่ 2

จากที่เราเล่าถึง เรื่องตัวต่อกันมาเเล้วนะครับ เราก็จะมาพูดถึงการหลงป่าของ น้าทอมกันต่อครับซึ่งในตอนนี้ เป็นช่วงหลังจากตอนที่เเล้วครับ เรามาดูกันซิว่าอันตรายต่างๆเเละวิธีเอาตัวรอดเป็นอย่างไรบ้าง เชิญครับ
นี้คือรูปอุปกรณ์ของน้าทอม นะครับ เเละรูปสัตว์ต่างๆ






เริ่มกันเลยครับ

ตอนที่ 2 
ก่อนที่จะขึ้นนอนบนเปล เพื่อพักผ่อน ผมก็นึกถึงสิ่งที่หมอป่าแห่งห้วยขาแข้งเล่าให้ฟังว่า หากเราจำเป็นต้องพักแรมในป่าโดยที่ไม่สามารถก่อกองไฟได้ ให้ใช้วิธีสร้างอนาเขตแบบสัตว์ โดยการฉี่รดโคนต้นไม้ เพราะในฉี่ของผู้ชายจะมี ซีโรโมน ที่สัตว์ได้กลิ่น แล้วจะไม่กล้าเข้ามาในบริเวณ เพราะธรรมชาติ สัตว์ป่าจะกลัวมนุษย์มาก ผมก็เลยมองหาจุดที่คาดว่า อาจเป็นเส้นทางที่สัตว์จะเดินเข้ามายังที่ ที่ผมผูกเปลนอน แล้วก็ไปปฏิบัติการสร้างอนาเขตโดยทันที่ แต่ผมไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ขอขมาก่อนทำเพราะเป็นสิ่งที่คนไทยถือ เมื่อเสร็จ ผมกลับมาขึ้นเปลนอน แต่ผมก็หลับได้ไม่เต็มตา เพราะผลจากการละเมิดกฎของเวลา การตั้งแค้ม ผมไม่มีกองไฟช่วยให้อุ่นใจ หรืออุ่นกาย เพราะในป่าแห่งนี้ถึงจะเป็นป่าร้อนชื้น แต่กลางคืนมันก็หนาวอย่าบอกใคร ได้แต่เพิ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ติดตัวมาขอให้พ้นคืนนี้ไป อย่างปลอดภัย เพราะการเข้าป่าแห่งนี้ของผม เป็นการเข้ามาเยือนเป็นครั้งแรก 
แต่สิ่งที่ทำให้อุ่นใจ คือท้องฟ้าที่เปิด ดวงดาวในป่าสวยมาก พอที่จะทำให้เราคลายความวิตกกังวลไปได้ จากนั้นผมก็หลับ รู้ซึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงของไก่ป่า และนกกาหว่าวร้อง อากาศในป่ายามเช้าช่างสวยงามสดใส ผมรีบลุก แล้วแต่งกายเก็บเปลม้วนมัดติดกับเข็มขัดด้านหลังของกระเป๋าฉุกเฉิน ผมเก็บกิ่งไม้แห้งบริเวณรอบๆ เพื่อก่อกองไฟเล็กๆ พอต้มซุปข้าวโพดที่มีมา เติมพลังก่อนออกเดินหาเต็นท์อีกครั้ง เพื่อที่จะไปต่อให้ถึงต้นน้ำของแม่น้ำเพรชบุรีให้ได้ ตามที่ได้ตั้งใจไว้ หลังจากกินซุปหมดและดับไฟ ด้วยวิธีการใช้ดินกลบ แล้วใช้มือแตะเพื่อให้แน่ใจว่าไฟดับดีแล้ว เพราะหากไฟยังไม่ดับ มันอาจเป็นต้นเหตุทำให้เกิดไฟป่าได้ (ดังนั้นที่ผมเคยบอกว่า ขอให้เที่ยวป่าอย่างมีวินัย เพราะวินัยเป็นสิ่งสำคัญ และการดับกองไฟให้สนิท ก็เป็นการรักษาวินัยที่สำคัญ ) ผมทำการสำรวจน้ำดืมในกระติก ว่าต่ำกว่าปริมาณที่ปลอดภัยหรือไม่ เพราะที่เดินมาเมื่อวาน ผมยังไม่เจอแหล่งน้ำเลย เมื่อสำรวจน้ำในกระติกว่ายังมีปริมาณที่ยังไม่ถึงขั้นอันตราย ผมก็เริ่มออกตามหาเต็นท์ โดยการเดินย้อนทิศทางที่เริ่มเดินเข้าป่ามา แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด ด้วยว่าป่าที่รกทึบ ยากต่อการดูทิศทาง และสั่งเกตุจุดเป้าหมาย ที่เราใช้จับทิศทาง ก็มีระยะที่สั้นลงไปด้วย เพราะความหนาแน่นของพุ่มไม้ใหญ่น้อย ทำให้การเดินทางยากลำบากยิ่งขึ้น เพราะการเบิกทางในป่าที่รกทึบเป็นอะไรที่ต้องใช้แรงกำลังมาก อีกทั้งเสี่ยงกับการได้รับอันตรายจากสัตว์และแมลงมีพิษ ดังนั้นมันจึงไม่เหมาะกับคนที่กำลังหลงป่า แต่จะทำไงได้ เพราะไม่ว่าจะซ้าย จะขวา หรือข้างหน้าก็รกเหมือนๆกัน ไม่มีทางอื่น นอกจากต้องลุยไปตามทิศทางที่วางไว้ ผมจึงมองหากิ่งไม้ หรือต้นไม้ขนาดเหมาะมือเพื่อทำไม้เท้า ตัดให้มีความยาวประมาณเมตรห้าสิบเซ็น ประมาณ สามในสี่ส่วนของความสูงของผม จากนั้นใช้มีดผ่าตรงส่วนที่หนา ให้แยกออก แล้วเอามีดอีกเล่มมายัดลงไป ใช้เชือดมัดให้แน่น เพื่อทำเป็นหอก ส่วนปลายไม้เวลาเดินในที่รกก็ใช้ค้ำไปทางด้านหน้าเพื่อไล่สัตว์มีพิษ ก่อนที่จะก้าวเท้าไป เพราะหากไม่ทำเช่นนี้ เกิดก้าวเท้าไปเหยียบเอางูเห่าเข้าละก็ คงเป็นศพแน่ๆ ส่วนปลายอีกด้านที่ติดมีดไว้ เพราะหากเจอหมีควายเข้า หมดโอกาสหนี ต้องตั้งหลักสู่ เพราะก่อนหน้าที่จะมาเจอด่านป่าทึบนี้ ผมเจอกระจุกขน ขาดว่าหน้าจะเป็นของหมีควาย ติดอยู่กับเปลือกไม้ สูงในระดับหน้าอกของผมพอดี ผมรู้โดยทันทีว่า ตรงนี้ ต้นไม้ต้นนี้หมีควายตัวสูงมากกว่า เมตรห้าสิบเซ็น มันเอาหลังมาถูเอาไว้ เพราะหากเป็น หมีหมา หรือ หมีคน ความสูงของมันจะไม่เกินเมตรสามสิบเซ็น แต่รอยเท้าของมันมุ่งหน้าไปทิศอื่น ถึงมันจะไปทิศทางอื่นก็ตาม ด้วยนิสัยของหมีควายนั้น เป็นสัตว์ที่หวงถิ่น และผมเองก็กำลังอยู่ในถิ่นของมันซะด้วย แต่ถ้าไม่เจอกันซึ่งหน้า มันจะไม่ตามมาเล่นงานเรา เพราะตัวมันเองก็กลัวคนเช่นกัน ดีงนั้นเวลาเดิน ผมต้องส่งเสียไปเลื่อยๆ เพื่อให้หมีเป็นฝ่ายเลี่ยงไป เดินฝ่าดงก็เหนื่อยพอแรงแล้ว ยังต้องแหกปากไล่หมีอีก เดินได้ไม่ถึงกิโล ผมก็หมดแรง ต้องหาที่หยุดพักเพื่อกินเพื่อเพิ่มพลังงาน และที่สำคัญ ต้องเป็นทำเลที่ปลอดภัย จากหมีควายคือสถานที่ ที่ผมสามารถตรวจการได้โดยรอบ เพราะในที่ๆเราพบร่องรอยของสัตว์ที่มีความดุร้าย จะหยุดพักสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เมื่อผมหาทำเลที่เหมาะๆได้แล้ว ผมจึงนั่งพัก แล้วนำถั่วที่เหลืออีกถุงมากินกับน้ำผึ้งอีกนิดหน่อย เพราะซุปที่เหลืออีดห้าซอง ยังไม่เหมาะที่จะต้มตอนนี้ เพราะกลิ่นของซุป จะลอยไปเข้าจมูกหมีควาย แล้วหมีควายมันคงไม่รอช้า มันต้องเดินทางมาร่วมแจมกับผมแน่ หลังจากพักจนหายเหนื่อยพอสมควรแล้ว ก็ต้องรีบไปต่อ เพราะผมไม่ยากค้างคืนที่นี่ โดยมีหมีควายอยู่ใกล้ๆตัว เบิกทางถางดงมาได้สองกิโลเมตรกว่าๆ ผมก็เจอป่าที่โป่งมากขึ้น พอเห็นแสงตะวันยามบ่าย ผมมองที่นาฬิกาข้อมือ เวลาเกือบบ่ายสองโมงแล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววของเต็นท์ หรือ ทางที่คุ้นตาเลย ประกอบกับการเบิกทางฝ่าดง มันเป็นอะไรที่กินแรงมาก วันนี้คงต้องหยุดพักเร็วขึ้นหน่อย ผมเริ่มสำรวจพื้นที่หาทำเลผูกเต้นนอน หลังจากเจอทำเลเหมาะๆผมก็เริ่มสำรวจร่องรอยของสัตว์อันตรายพร้อมกับเก็บฟืนไปด้วย เมื่อทำการสำรวจสิ่งต่างๆพร้อมกับเก็บฟืนมาได้มากพอ ผมก็เริ่มก่อกองไฟ สำรวจสุขภาพตัวเอง ถอดรองเท้าออกดู ผมก็เจอปาตี้เล็กๆของหมู่ทาก สองสามตัว ที่กำลังดูดเลือดที่เหนือข้อเท้าขวาของผมซะตัวเป่งกันเลยที่เดียว ข้างซ้ายก็เช่นกัน สนุกสนานกันอยู่สองตัว ผมหยิบบุหรี่มาจุดสูบไป แล้วก็เอาบุหรี่จี้มันทีละตัว จนมันหลุดไปหมด แต่ด้วยความที่มันดูดเลือดผมมานาน และในน้ำลายของตัวทาก มันมีสารชนิดนึงที่หยุดกาาแข็งตัวของเลือดทำให้ บริเวนรอยที่มันดูมีเลือดซึมออกมา และกลิ่นเลือดก็ไม่เป็นผลดี หากคุณต้องอยู่ตัวคนเดียวในป่า ผมเลยเอาบุหรี่ที่สูบไปแล้วครึ่งมวน แกะเอายาเส้นข้างในมาผสมน้ำนิดหน่อย พอให้เปียก แล้วเอาไปแปะไว้บริเวนที่มีเลือดซึม เพราะยาเส้นมีสารที่ช่วยให่เลือดแข็งตัว ช่วยในการห้ามเลือดได้ จากนั้นก็นำซุปเห็ดออกมาต้มกินสองซอง เพราะวันนี้ใช้พลังงานไปมาก เมื่อเลือดที่ซึมหยุด ผมก็เอาชุดทำแผลในกระเป๋ายังชีพฉุกเฉิน เอายาเบนตาดีนมาทาเพื่อฆ่าเชื่อ แล้วจึงใส่ถุงเท้าสำรองอีกคู่ แล้วเอาไม้แห้งท่อนใหญ่ประมาณต้นขา วางพาดบนกองไฟเพื่อให้กองไฟอยู่ได้นานๆ ปัญหาของผมอีกอย่างที่กำลังจะตามมาในวันพรุ่งนี้ คือน้ำดืมในกระติกเหลือน้อยเข้าขั้นวิกิต ดังนั้นในวันพรุ่งนี้สิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับแรกคือหาแหล่งน้ำเพื่อเติมน้ำในกระติกให้เต็ม สำหรับคืนที่สองนี้ ผมหลับสนิทเพราะความเหนื่อยล้าจากการเบิกทางฝ่าดง..
และนี้คือ เฟสของน้าทอมนะครับพระเอกของเรื่องนี้ ซึ่งต้องขอบพระคุณอย่างสูงที่ให้ยืมเรื่องราวเหล่านี้มาเผยเเพร่ เพื่อเป็นประโยชน์ของผู้ที่อ่านเเละศึกษามันครับ
https://www.facebook.com/profile.php?id=100001055300017&fref=ts

จบกันไปนะครับสำหรับตอนที่สอง เเละตอนที่สามจะมาในเร็วๆนี้ครับผม ขอบคุณที่ติดตาม DANTE



เรื่อง ต่อๆ ตอนที่สอง

เรื่อง ต่อๆ ตอนที่สอง

    ต่อจากเรื่องที่แล้วเลยนะครับต่อหัวเสือสุดอันตรายผ่านไปแล้วถึงตาเจ้าต่อหลุ่มที่อันตรายไม่เเพ้กันเลยครับเจ้านี้เกเรมากกว่าอีกนะครับเรียกว่าเกิดมาเพื่อล่าโดยตรงมันชอบพาสมัครพรรคพวกไปโจมตีรังต่ออื่นๆด้วยกันเองเเล้วขโมยอาการจับลูกเขามากินอีกนิ โถ่ๆอะไรจะมาณนั้นมาลองดูกันครับ


หน้าตาแบบนี้ครับ แทบเเยกไม่ออกระหว่างต่อหลุมกับต่อหัวเสือนะครับ เเต่ดูดีๆครับมีส่วนสังเกตุอยู่

     
เห็นจุดสังเกตุแล้วใช่ไม้ครับ ที่ลายตรงปล้องท้องนั้นเองต่อหัวเสือจะมีลายสีส้มมากกว่าครับ สอง-สามเลยเเล้วเเต่สายพันธุ์ แต่ขณะที่ต่อหลุ่มจะมีเพียงลายเดียวครับผม


ต่อหลุ่ม ชื่อวิทยาศาสตร์คือ         Vespa Tropica
โดยปกติเจ้าต่อหลุมนี่จะมีขนาดใหญ่กว่าต่อหัวเสือนะครับ...ขนาดลำตัวโดยทั่วไปยาวกว่ากันมาก
  ต่อหลุม ปกติจะสร้างรังในโพรงดินครับ ต่างจากต่อหัวเสือที่จะสร้างรังตามต้นไม้หรือบ้านเรือนนะครับ
ที่อาศัยเค้าคือ ป่าเบญจพรรณ ป่าโปร่ง และพบได้ทั่วไป พูดง่ายๆก็คือเช่นเดียวกับต่อหัวเสือครับ ต่างกันที่ขนาดที่อยู่อาศัยเท่านั้นครับ
นี้ครับ ส่วนสังเกตุ จากพันธุ์หัวเสือ กับต่อหลุ่ม ต่อหลุ่มจะตัวใหญ่กว่าและมีสีส้มปล้องกลางปล้องเดียวในส่วนท้อง เเต่ในขณะที่เจ้าหัวเสือมีสีส้มสองปล้องคือตรงกลางท้องกลับปล้องติดกับอกครับ ก็เรียกได้ว่าพอจะเข้าใจเเละแยกออกแล้วนะครับกับสองชนิดนี้
จากนี้จะพูดถึงประสบการณ์ที่มีคนเจอเจ้าตัวต่อพวกนี้มากับตัวครับ เรียกว่าเจ็บจี๊ดเผ็ดร้อนกันเลยที่เดียว โพสขึ้นที่เพจอาหารและสุขภาพนะครับ 
ลองอ่านกันดูเพื่อเป็นความรู้นำไปใช้ได้จริงครับ


        “ ต่อหัวเสือ ” เป็นแมลงอันตราย ลักษณะของลำตัวมี สีดำ ปีกสีน้ำตาล ท้องมีแถบสีส้มปนเหลือง (คล้ายๆลายเสือ) มีขนาดลำตัวยาว 3.00-3.50 เซนติเมตร
ต่อหัวเสือ ในไทยของเรา พบได้ทั่วทุกภาค พี่น้องอีสานเรียกว่า ต่อนอนเว็น (ต่อนอนกลางวัน) เพราะต่อหัวเสือนั้นกลางวัน มันจะนอนซ่อนตัวอยู่ในรัง และเริ่มออกหากินในเวลากลางคืน พี่น้องทางใต้เรียกมันว่า “ต่อรัดพัดผ้าแดง” ก็คงดูจากรูปร่างสีสันในตัวของมัน ที่เหมือนเอาผ้าแดงๆมาพันคอไว้
วิธีการหากินของตัวต่อจะเข้าไปต่อยตัวหนอนให้ สลบแล้วจึงอุ้มตัวหนอนนั้นมาวางไว้ตามช่องภายในรังเพื่อเป็น อาหารลูกอ่อนของตัวต่อที่จะเกิดขึ้นมา อาหารของต่อส่วนใหญ่จะเป็นพวกเนื้อสัตว์ แต่มันก็ยังกินน้ำหวานเพิ่มเติมด้วยเพื่อใช้ในการเผาผลาญให้เกิดพลังงานแก่ร่างกาย แหล่งที่เป็นพลังงานสำคัญของต่อคือ น้ำหวานจากผลไม้สุกและเกสรดอกไม้ ในการกินเกสรดอกไม้ของต่อหรือผึ้งก็จะเป็นประโยชน์กับต้นไม้ เพราะเป็นการช่วยผสมเกสรให้ดอกไม้ไปในตัว
อาวุธร้ายของมันก็คือ เหล็กใน (sting) ซึ่งจะซ่อนอยู่ตรงปลายสุดของลำตัว ที่แหลมเหมือนเข็มฉีดยา ก็คล้ายกับผึ้ง แต่ที่น่ากลัวกว่าก็คือ ในขณะที่ผึ้งจะต่อยได้แค่ครั้งเดียวแล้วก็ฝังเหล็กในไว้บนผิวหนังแล้วตัวมันเองก็ตาย (เหมือนพวกระเบิดพลีชีพไม่มีผิด!) แต่เจ้า ต่อหัวเสือ นั้น…เมื่อมันต่อย มันจะไม่ฝังเหล็กในทันที แต่จะถอนเหล็กในออกอย่างรวดเร็ว แล้วต่อยซ้ำๆ กันได้หลายๆ ครั้งติดต่อกัน(เหมือนต่อยรัวๆๆๆ)
ใครที่โดน ต่อหัวเสือ ถึงกับรุมเล่นงาน จะมีอาการหนักหนาสาหัสเพียงใด นั้น ขึ้นอยู่กับชนิดของต่อที่ต่อย ปริมาณพิษที่ได้รับ และจำนวนครั้งที่โดนต่อต่อย
แต่ที่สำคัญก็คือ แต่ละคนมีอาการแพ้พิษในระดับที่ไม่เท่ากัน ในขณะที่บางคนเพียงเจ็บคันและบวมเล็กน้อย แต่บางคนนอกจากจะปวดบวมมากแล้ว เป็นลมพิษ เกิดปฏิกิริยารุนแรง ถึงขั้นหายใจไม่ออก ช็อคและเสียชีวิตได้
คนที่โชคดีที่ไม่แพ้แมลง (non-allergic) ก็อาจแค่คันตรงบริเวณผิวหนังที่ถูกพิษ หรือเป็นตุ่มบวม เจ็บ แดง ร้อน แต่แบบนี้เป็นอาการไม่รุนแรงไม่น่ากลัว อาการรุนแรงสองแบบที่เรากลัวเป็นอาการภูมิแพ้ คือเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายต่อพิษของมันที่แทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาตามระบบต่างๆทั่วร่างกาย ที่อันตรายคือทำให้กล่องเสียง หลอดลมบวม เป็นเหตุให้ทางเดินหายใจอุดตัน หรือมีอาการหอบหืดเฉียบพลัน อีกอาการหนึ่งคือทำให้เกิดอาการช็อค จากหลอดเลือดส่วนปลายขยายตัวเฉียบพลัน อาการรุนแรงทั้งสองแบบนี้ไม่ต้องต่อยหลายตัว ไม่กี่ตัวก็เกิดได้เพราะเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกาย อาการรุนแรงอีกแบบหนึ่งคือการถูกต่อยหลายๆตัว ได้รับพิษจำนวนมากที่เข้าสู่ร่างกาย จะเกิดผลเสียต่ออวัยวะต่างๆเช่นเกิดไตวายได้ เป็นต้น
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อโดนตัว ต่อหัวเสือ ต่อย
ใช้กระดาษหรือแผ่นพลาสติกแข็ง เช่น บัตรเติมเงิน บัตรเอทีเอ็ม กดข้างๆเพื่อเอาเหล็กในออก ซึ่งจะช่วยลดปริมาณพิษลง และยังป้องกันแพ้อย่างรุนแรงได้
เอาถุงน้ำแข็ง หรือแผ่นประคบเย็น ประคบแผลเพื่อลดความเจ็บปวด และอาการบวม
ใช้ครีมสเตียรอยด์เช่น 1% ไฮโดรคอร์ติโซน ทาบริเวณที่ถูกกัดวันละสามครั้งจนกว่าจะหาย
กินยาแก้แพ้ ประเภทแอนตี้ฮิสตามีน เช่นไดเฟนไฮดรามีน
กรณีที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง จะมีอาการหน้าบวม ตาบวม ริมฝีปากบวม บ่งบอกว่า เยื่อบุทางเดินหายใจภายในจะบวมคล้ายๆกัน จะมีอาการหายใจเสียงดัง หายใจลำบาก หรือหน้าซีด ตัวเย็น ไม่ค่อยรู้ตัว เป็นลม กรณีเช่นนี้ต้องรีบนำส่ง สถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุดโดยด่วนเลยนะครับ
หากในกรณีที่มีอาการรุนแรงคุณหมอจะให้ยาฉีดอดรีนาลีนทันทีเพื่อลดอาการบวมของทางเดินหายใจ
ป้องกันอย่างไร จึงปลอดภัยจาก ต่อหัวเสือ ?
ที่สำคัญที่สุดก็คือ คุณพ่อคุณแม่ต้องสอนลูกๆหลานๆว่า พบรัง ต่อ แตน หรือผึ้งที่ไหนก็ตาม ห้ามเขี่ย-แหย่หรือทำลายรังของมันอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นก็จะเกิดเหตุร้ายอย่างที่เป็นข่าวมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน (หากไม่รู้วิธีจริง อย่าทำลายรังเองโดยเด็ดขาด การกำจัดเผาทำลายรังปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญเถิด)
อย่าเลือกอาศัยในบริเวณที่มีคนเพาะรังต่อเป็นอาชีพ เพราะเหตุว่า มีคนไม่น้อยเลยที่นิยมหม่ำตัวอ่อนของต่อ เปิบพิสดารเมนูนี้มี ทั้งย่าง-เผาไฟ-นึ่ง หรือเคี้ยวกันดิบๆ (ว่ากันว่ารสชาติหวานมันยิ่งนัก) แถมราคารังละ 300 บาท จึงมีคนยอมเสี่ยงภัยยึดอาชีพดังกล่าว เพราะเห็นว่าคู่แข่งน้อย แถมไม่ต้องลงทุนเพราะไม่ต้องให้อาหาร บางบ้านจึงเพาะรังต่อไว้ถึง 20 -30 รังกันเลย
ที่เล่ามาทั้งหมด อาจทำให้เห็นว่าเจ้าต่อหัวเสือคือซาตานที่ไม่ควรผุดขึ้นมาในโลกนี้เลย ซึ่งที่จริงแล้วโลกเราก็ได้คุณประโยชน์จากพวกมันไม่ใช่น้อยๆ ทั้งภาคการเกษตรกรรม ที่กำจัดศัตรูพืชผักที่ปลูก เช่น เพลี้ยอ่อน หนอนผีเสื้อ ตัวอ่อนตั๊กแตน โดยมันจะจับแมลงเหล่านี้กินเป็นอาหาร (แถมยังขนกลับไปกินที่รังอีกด้วย) ในภาคระบบนิเวศน์ สร้างสมดุลให้ระบบด้วยการ กินซากเนื้อสัตว์ แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่มิตรรักที่แสนเชื่องของมนุษย์อย่างแน่นอน
หวังว่าทุกคนจะได้ประโยชน์จากความรู้ที่นำมาฝากกัน ทางที่ดี
เราควรอยู่ให้ห่างจากบริเวณที่มีรังต่อจะดีต่อเรามากที่สุด

จบกันเเล้วนะครับสำหรับเรื่องต่อทั้งสองตอนหวังว่าท่านผู้ติดตามและอ่านคงจะได้รับประโยชน์ไม่มากก็น้อย สุดท้ายนี้ขอขอบคุณที่ติดตามครับ DANTE

เรื่องต่อๆ


เรื่องต่อๆ

เเละวันนี้ก่อนที่เราจะ พูดถึงการหลงป่าของพี่ทอม ผมจะยกอันตรายส่วนเล็กที่เรียกว่าไม่เล็กกันเลยที่เดียวนะครับ หลายคนเคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับต่อหลุ่มเเละต่อหัวเสือ โหฟังชื่อก็ขนหัวลุกเลยนะครับ ผมได้ศึกษาข้อมูลจากหลายๆที่มาไว้ตรงนี้เพื่อที่จะให้พี่น้องที่เข้ามารับชมนี้จะได้ไม่เสียเวลาไปค้นข้อมูลมากมาย บางช่วงข้อมูลอาจหายไปบ้างเพราะไม่เจอผู้ใหญ่ที่ท่านมีความรู้เก่าเเก่เลย มีแต่ความรู้วิทยาศาสตร์ล้วนๆแต่ก็ไม่ถึงกับนั่งเทียนหรอกนะครับ 555+ ว่าเเล้วก็เริ่มกันเลยนะครับ เริ่มที่ ต่อหัวเสือเเละรายละเอียดกัน

               
       หน้าตาดุสมชื่อนะครับเจ้านี้  ชื่อ วิทยาศาสตร์คือ Vespa sp.

ข้อมูลทั่วไป

             เป็นแมลงที่อยู่ในอันดับ Hymenoptera  ต่อเป็นแมลงที่มีพิษจัดเป็นสัตว์ประเภท Omnivorous คือ เป็นแมลงที่กินสัตว์ เช่น ตัวอ่อนแมลงอื่น ซากสัตว์ เป็นอาหาร และยังจัดเป็นแมลงตัวห้ำ (Predator) อีกทั้งเป็นแมลงที่ดูดน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ ต่อหัวเสือมีหลายชนิด ทั้งชนิดที่อยู่ลำพัง หรืออยู่เป็นรวมกันเป็นแมลงสังคม (Social wasp) ส่วนต่อที่สร้างรังขนาดใหญ่มีหลายชนิด ส่วนใหญ่เป็นรูปทรงกลมใหญ่ มักอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ เช่น ต่อหัวเสือ ต่อรัง ต่อขวด และต่อหลวง ต่อเป็นแมลงพบได้ทุกภาคของประเทศไทย ในประเทศไทย พบ 18 ชนิด
ต่อ ชนิดที่อยู่รวมกันเป็นแมลงสังคม มีการแบ่งวรรณะ ประกอบด้วยเพศผู้ ซึ่งต่อราชินีและต่องาน เป็นเพศเมีย  นักวิทยาศาสตร์พบว่า  ไข่ที่ได้รับการผสมจะเจริญเติบโตเป็นเพศเมีย ส่วนไข่ที่ไม่ได้รับการผสมเจริญเติบโตเป็นเพศผู้
ต่องาน มีหน้าที่หาอาหาร ป้องกันรัง ดูแลราชินี และตัวอ่อนภายในรัง
ต่อราชินีเป็นเพศเมียที่สามารถสืบพันธุ์ได้ ในรังต่อจะมีต่อราชินีที่เป็นแม่ ตัว  จะพบต่อราชินีที่เป็นลูกอีกหลายตัว ส่วนใหญ่แล้วจะพบในช่วงฤดูกาลการผสมพันธุ์เพื่อสร้างรังใหม่
การป้องกันรังของ ต่อหัวเสือ พวกมันจะต่อยพร้อมกับการฉีดพิษ ต่อตัวที่ต่อยได้ ทุกตัวเป็นต่อเพศเมียเท่านั้นเพราะมีเหล็กใน ที่ถูกพัฒนามาจากอวัยวะในการวางไข่ การต่อยนอกจากเป็นการป้องกันตัว ป้องกันรังแล้วต่อบางชนิดยังสามารถใช้ในการล่าเหยื่อโดยการต่อยให้เหยื่อสลบก่อนจะคาบเหยื่อไปกินเป็นอาหารที่รังต่อไป

วงจรชีวิต

 การเจริญเติบโตของ ต่อ ตั้งแต่ตัวอ่อนซึ่งเป็นมีสภาพเป็นตัวหนอน (larva) ฟักออกมาจากไข่ ต้องผ่านระยะตัวหนอน หลายระยะ โดยตัวหนอนมีปากเป็นแบบกัด หนอนในระยะ สุดท้ายจะเริ่ม หยุดกินอาหารและเคลื่อนไหวน้อยลงเรียกหนอนในระยะนี้ว่า ระยะเตรียมเข้าดักแด้ (prepupa or pharate pupa)   จากนั้นจะเข้าดักแด้ (pupation) จนเป็นตัวเต็มวัยมีปีกบินได้นั้น จัดอยู่ในประเภทการลอกคราบ หรือการถอดรูปสมบูรณ์แบบ (holometabolous or complete metamorphosis)  การถอดรูปในลักษณะนี้มักพบได้ในกลุ่มแมลงที่มีวิวัฒนาการสูงวงจรชีวิตมีการพัฒนาการในระยะต่างๆ ที่สำคัญรวม 4 ระยะ คือ ระยะไข่  ระยะตัวอ่อน หรือ หนอน    ระยะดักแด้    ระยะตัวเต็มวัย

ลักษณะตัวเต็มวัยนี้สำคัญมากครับเป็นที่สังเกตุ

            ต่อหัวเสือ ลำตัวมีสีดำแต้มด้วยสีเหลือง หรืออาจมีสีน้ำตาล ท้องมีแถบสีส้มปนเหลืองเห็นได้ชัดเจน มีขนาดลำตัว 2.7 -3.50  เซนติเมตร มีปีกสีน้ำตาลบางใส 2 คู่ ปีกคู่หลังมีขนาดเล็กกว่าปีกคู่หน้ามาก มีเขี้ยวที่กางออกทางข้าง 2 ข้าง ต่อหัวเสือ เป็นแมลงนักล่าที่น่าเกรงขาม สีเหลืองของมันบ่งบอกถึงภัยอันตราย สีดำแทนความแข็งแกร่งอดทนต่อหัวเสือ
รังต่อหัวเสือ จะร้างราวช่วงเดือน ตุลาคม ถึง ธันวาคม เนื่องจากเมื่อนางพญาหมดอายุขัย และนางพญาใหม่ที่เกิดขึ้น จะออกหาคู่ และไปสร้างอาณาจักรของพวกมันเอง ทิ้งพี่ๆน้องๆของมันให้ผจญชะตากรรม จากสภาพที่ไร้ผู้ปกครอง ที่รอแต่จะแตกสลายไปในเวลาไม่นาน 
ญาติของมัน ต่อหัวเสือหลุม (V.tropica) มีพฤติกรรมนักล่าที่ดุดันกว่าต่อหัวเสือมาก  มักเข้าจู่โจมรังต่อหัวเสือบ้าน และ รังของแตน เพื่อล่าเอาตัวอ่อนไปเป็นอาหาร จนทำให้ต่อหัวเสือบ้าน และแตน แตกรัง ต้องทิ้งรังไปสร้างที่อยู่ใหม่ เรา จึงมักพบต่อหลุมบินอยู่บริเวณบ้านด้วยเช่นกัน

สามารถแบ่งการเป็นพิษจากตัวต่อได้เป็น 3 ลักษณะ ตามกลไกการเกิดพิษ คือ

1.   การเป็นพิษโดยตรง (direct toxicity) ของพิษต่อเนื้อเยื่อต่างๆทั้งที่เป็นเฉพาะที่ (local) และทั่วร่างกาย (systemic)
2.   ปฏิกิริยาภูมิต้านทาน (immunological reaction) เกิดจากการกระตุ้น mast cell , การสร้าง IgG , IgE ทำให้เกิด serum sickness และ anaphylaxis
3.   กลไกที่ยังไม่ทราบ เช่น การทำอันตรายต่อระบบ ประสาท หลอดเลือดและไต 

การรักษาอาการพิษจากแมลงใน Order Hymenoptera (ผึ้ง  ต่อ  แตน)

เมื่อได้รับพิษให้ประคบด้วยน้ำแข็ง หรือให้ยาระงับอาการปวด ให้รับประทานยาแก้แพ้(Antihistamine) และ corticosteroid เพื่อลดอาการอักเสบและอาจให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนด้วยก็ได้ ในบางรายที่มีอาการรุนแรงให้รีบนำส่งโรงพยาบาลความรุนแรงของพิษนั้น จะผันแปรตามจำนวนแผลที่ถูกต่อย ปริมาณพิษที่ได้รับต่อน้ำหนักตัว อายุ และประวัติการแพ้
การรักษาเมื่อได้รับพิษจากแมลงกัดต่อย หากพิษไม่มีความรุนแรง เช่น มีอาการผื่นคัน มีตุ่มน้ำ เป็นจุดแดงๆ เล็กๆ หรือมีอาการคัน ก็อาจใช้สมุนไพรบรรเทาอาการได้ เช่น ขมิ้นชัน ตำลึง  ผักบุ้งทะเล พญายอ เสลดพังพอน
                
                              เจอรังเเบบนี้ก็เขาละครับพี่น้อง




ต่อหลุ่มคงไม่ทันเเล้วไว้เจอกัน โพสหน้านะครับ สวัสดีครับ ขอบคุณที่ติดตาม DANTE

ประสบการณ์หลงป่า ตอนที่ 1

จะทำอย่างไรเมื่อหลงป่า

การเดินป่านั้นอุปกรณ์เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณมีชีวิตรอดเมื่อต้องจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ในสถานการต่างๆ ผมมี บทความที่น้าคนหนึ่งที่ได้เกิดการหลงป่า ขึ้นมาดูซิครับว่า เขาทำอย่างไรเมื่อต้องเจอในสถานการนี้ ท่านที่กำลังจะเดินทางเข้าป่า จำต้องอ่านไว้เพื่อจดจำเป็นบทเรียนเเละ เป็นหนทางรอดสำหรับน้าที่ผมยืม บทความมานี่ มีชื่อว่าน้าทอม ครับ 

แชร์ประสบการณ์หลงป่า เผื่อเกิดขึ้นกับเพื่อนๆ อาจพอช่วยเหลือได้ครับ
เมื่อปี พ.ศ. 2540 เคยหลงป่าใน จ.เพรชบุรี หลงอยู่ 11 คืน นึกว่าจะไม่รอดเสียแล้ว ที่รอดมาได้อาจเพราะประสบการณ์ที่ได้มาจากเมื่อครั้งเป็นทหาร และ การเตรียมตัวเตรียมอุปกรณ์ไว้รับสถานะการก็เป็นได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสติ และ กำลังใจ หากคุณหลงป่าเพียงลำพัง การสร้างกำลังใจให้กับตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อมีสติแล้วคุณต้องเริ่มสำรวจอุปกรณ์สิ่งของต่างๆที่คุณมีติดตัวมา ในกรณีของผม ผมโชคดีที่จะเตรียมพร้อมเสมอ จนบางทีเพื่อนๆว่าผมวิตกจริตเลยทีเดียว 
สิ่งของที่ผมมีในวันนั้น 
-
มีมีด 2 เล่ม พร้อมอุปกรณ์ดำรงค์ชีพ (ในรูปอุปกรณ์อาจไม่ครบหรือเหมือนกับวันที่ผมหลงป่า)
อุปกรณ์ที่ติดกับมีด
-
มีไฟแช็ค 
-
มีแท่งแม็กนีเซียมพร้อมหินไฟ
-
มีไฟฉาย
เพราะไฟมันช่วยเราได้หลายอย่างครับ เช่น ป้องกันสัตว์ ประกอบอาหาร เนื่องจากในป่านั้นมีแบตทีเรีย ปรสิต ที่ร่างกายเราไม่มีภูมิต้านทานเหมือนสัตว์ป่าเขา ดังนั้นอะไรที่เราต้องกินในป่าที่หาได้และไม่ใช้ผลมากรากไม้ควรทำให้สุกเสียก่อน เพราะหากคุณท้องร่วงในขณะที่คุณหลงป่าโอกาสที่จะรอดก็น้อยลงด้วย และไฟยังเป็นเพื่อนให้ความอุ่นใจในยามค่ำคืนในป่า เพราะในป่าตอนกลางคืนเป็นอะไรที่หน้ากลัวมากๆ เมื่อเราต้องอยู่ตัวคนเดียว
-
มีเลน สำหรับหากจำเป็นต้องจุดไฟด้วยพลังแสงอาทิตย์
-
มีเชือก ที่ใช้ทำใส้เทียน เพราะหากเราหลงป่านานจนจำเป็นต้องล่าเพื่อความอยู่รอด สัตว์ที่เราล่าได้ จะมีไขมันเราสามารถใช้ไขมันมาทำตะเกียงโดยใช้เชือกนี้ หรือใช้เชือกทำแร้วสำหรับดักสัตว์เล็กๆ ได้ ผมไม่นิยมใช้เชือกประเภทใยสังเคราะห์ 
-
มีใบมีด สำหรับทำหัวลูกศร 2 เล่มเผื่อใช้ในการทำหลาวสำหรับการล่า (โพสต่อไปจะทำให้ดูนะครับ เพราะผมได้ใช้เมื่อคราวที่หลงป่าและล่าได้ เป็นส่วนนึงของการที่รอดมาได้)
-
มีขอเบ็ดตกปลา 
-
มีสายเอ็น
-
มีด้าย + เข็มเย็บผ้า
-
มีลวดสายกีต้า (ใช้ทำบ่วงดักกระลอก)
-
มีถ่านไฟฉายสำรอง
-
มีกระดาษทรายน้ำ 2 เบอร์ แบบละเอียดน้อย กับ ละเอียดมาก ใช้สำหรับลับมีด
-
มีเทปกาวผ้า 
อุปกรณ์ที่สำคัญอื่นๆที่มี
-
กระติกน้ำสนาม สำคัญน้ำต้องเต็มไว้ก่อน ตอนไม่เกิดสถานะการผมดืมจากขวดที่ซื้อมา จะไม่แตะน้ำในกระติกเลย เพราะน้ำเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกๆหากคุณหลงป่า ก้นกระติกที่เป็นอลูมิเนียมใช้เป็นหม้อต้มน้ำได้
-
มีหนังสติก + ลูกเหล็ก 6 มิลลิเมตร ประมาณ 20 - 30 เม็ด
-
มีเปลผ้า
-
เวชภัน ชุดทำแผล ยาสามัญ พกพา
-
ซุปเห็ด กับ ซุปข้าวโพดชนิดซอง ประมาณ 4-5 ซอง
เมื่อสำรวจอุปกรณ์สิ่งของที่เรามีแล้ว หากคุณไปเป็นหมู่ขณะ แล้วคุณหลงป่าอยู่คนเดียว สิ่งที่คุณควรทำคือการหาทำเลสำหรับตั้งแค้ม ก่อไฟเตรียมใบไม้สดไว้เพื่อใส่กองไฟให้เกิดควัน เพราะเพื่อนๆคุณ จะต้องตามหาหรือแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าให้ความช่วยเหลือ และควันไฟสีขาว สามารถเห็นได้ไกลหลาย 10 ก.ม. อีกทั้งกลิ่นควันก็ไปได้ไกล หากมีนกหวีด คุณควรเป่าทุกๆ 15 นาที เพื่อถนอมแรงไว้ แบ่งน้ำในกระติก กำหนดการดืมเผื่อเซฟน้ำที่มีไว้ให้ใช้ได้นานที่สุด เมื่อน้ำคุณเหลือครึ่งกระติกคุณเตรียมหาแหล่งน้ำสำรองไว้ได้เลยลำดับแรกให้สำรวจบริเวณรอบๆว่ามีเถาวัลน้ำหรือไม่ (ลักษณะเถาวัลน้ำตามรูปภาพครับ)
แตกหากคุณเป็นพวกรักสันโดส ชอบลุยเดียวแบบผม ต้องทำใจครับเพราะการช่วยเหลืออาจไม่มา หรือมามันก็ช้าเกิน ช่วยตัวเองดีที่สุด ด้วยการหาแหล่งน้ำ ตามหุบเขา สังเกตุต้นไม้ที่ชอบน้ำหากมันขึ้นมาเป็นดงหมายถึงตรงนั้นต้องมีน้ำ เมื่อเจอน้ำให้เดินตามน้ำไปครับ ระวังให้สังเกตุรอยเท้า อุจาระสัตว์ด้วยนะครับ หากเดินไม่ระวัง ไม่สังเกตุรู้ตัวอีกทีอาจอยู่กลางโขลงช้างป่าเข้าจะแย่
ในการประทังชีวิตในยามหลงป่า วิธีคือ เราต้องเรียนแบบสัตว์ คือหากินทั้งวัน หากเจอซากไม้ล้ม นั้นและตู้กับข้าวชั้นยอดเลยที่เดียว หนอนไม้ หรือ ตัวอ่อนด่วง เป็นแหล่งพลังงานชั้นยอด รสชาติก็ไม่เลว (ตามรูป) เอาหูแนบฟังดูจะได้ยินเสียงกลอดแกลด นั้นแหละมันอยู่ตรงนั้นเลย ในการเดินทางในป่า เราควรหยุดเดินในเวลา 3 - 4 โมงเย็นเพื่อทำการตั้งแค้มเตรียมที่พัก เพราะในป่าความมืดมันจะมาเร็วมาก ในช่วงกลางคืนไม่ควรเดิน เพราะอันตรายมาก ไม่ว่าจากสัตว์ หรือหนทางเดินพลาดตกเขาหรือเท้าพลิกข้อเท้าแพง ขาแข้งหักมาละก็โอกาสรอดคงไม่เหลือ ในการตั้งแค้มทำที่พักไม่ควรเข้าใกล้แหล่งน้ำมากนัก เพราะเราอาจเป็นอาหารของยุง หรือไม่ก็เป็นมาเลเรีย ควรสำรวจรอยเท้าอุจาระของสัตว์ในบริเวณที่จะตั้งแค้มด้วย ตรวจดูตามต้นไม้ว่ามีรอยเล็บหรือรอยงา รอยเคี่ยวของสัตว์อยู่หรือไม่ หากมีก็ควรหลีกเลียงการตั้งแค้มไปหาทำเลใหม่ ก่อกองไฟสุมให้เกิดควันโดยใช้ใบไม้สดสักกอวางบนไฟให้เกิดควันเพื่อไล่แมงหรือยุง และเพื่อเป็นการบอกที่ตั้งเผื่อมีใครตามหาเราอยู่ อย่าลืมเป่านกหวีดทุกๆ 15 นาที
ส่วนรูปภาพอุปกรณ์ของน้าทอม ผมจะโพสในวันต่อไปพร้อมกับ เรื่องราวต่อจากนี้ครับ
ขอบคุณที่ติดตาม DANTE