“แฟนหมี”

แฟนหมี

..อาทิตย์ยังไม่อ่อนแรง เวลาสักบ่ายโมงไม่ขาดเกิน พรานหนุ่มกลุ่มหนึ่งเดินเลาะลำห้วยมา บนหลังสะพายถุงย่ามกระเป๋าคนละใบ พรานตุ๋ย พรานเซี่ยม พรานแฟน และพรานเต่า ชายหนุ่มรุ่นใหญ่พวกนี้พึ่งกลับมาจาก ห้วยแม่ละมง ตัดเข้าสู่ห้วยใหญ่ผาเวียงหลังจากที่ เข้าไปนอนในป่าเสียสองคืนเพื่อ อยู่ห้าง ผลปรากฏว่ามีเพียงกระรอกกระแตและอีเห็น ติดกระเป๋ามาเพียงคนละตัวสองตัว ต่างบ่นกันอุบระหว่างทางกลับซึ้งใกล้ห้างนาตาทองเต็มทีแล้ว เพราะจอดรถไถหางยาวไว้ที่นั้นพี่เซี่ยม ไปกันก่อนเลย ผมปวดท้อง ประเดี๋ยวแวะข้างทางหน่อยพรานแฟน ออกตัวขออณุญาติพรานรุ่นพี่เพราะแกถูกข้าศึกประชิดติดเมืองเออ รีบหน่อยนะจะรีบกลับไปดูควายฝากเขาไว้หลายวันแล้ว’’มึงระวังทากหน่อยนะมึงไอ่แฟนพรานเต่าสำทับมาอีกทีเออๆๆ พูดแค่นั้นพรานแฟนก็ผลุบเข้าพงหญ้าไป….
พรานตุ๋ย ร้องออกมาได้คำเดียว หมี!! และกดตูมไปด้วย ปืนแก๊ป ปัง!
ทันทีที่ กระสุดถูกยิงออกไป ตัวพรานแกก็ปาฎิหาร โดดขึ้นต้นไม้ที่อยู่ใกล้ที่สุด ปีนแปปเดียวก็ถึงคาคบปล่อยให้พวกอยู่ในน้ำงุนงงเรียกว่างงทั้งหมีทั้งคน พวกอยู่ในน้ำกว่าจะรู้อะไรเป็นอะไร หมีเจ้ากรรมที่ถูกยิงก็วิ่งเตลิดไปเสียแล้ว  เพราะมันมันก็ตกใจเหมือนกันพี่เซี่ยม หมีๆๆ ตามเร็วพรานตุ๋ย ตะโกนเหยวๆให้พี่ตามหมีไปทั้งที่ตัวเอง ทะลึ่งไปอยู่บนต้นไม้เสียแล้ว สองพราน ขึ้นน้ำมา วิ่งไปด้วยแหกปากไปด้วย ตามหมีตัวนั้นไปหมีโว้ยๆไม่ใช่ร้องเพราะ จะให้หมีหยุดหรอกครับ แต่ร้องเพื่อนให้เพื่อนรู้ เพราะมีทั้ง ตาสีเลย และ พรานแฟนที่นั่งถ่ายอยู่ จับเหมาะเจอหมีเจ็บจะยุ่งเอาแต่หายห่วงครับ ทางนั้นเอะอะโว้ยวายกันเช่นไร พรานแฟนไม่ทราบได้
แต่ทำธุระเสร็จแล้ว  ก็ยืนพิงต้นไม้ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างห้วยแกได้ยินเสียปืนหลวมๆนัดหนึ่ง คิดว่าน้องคงยิงอะไรไม่สำคัญนักเพราะมันอยู่ให้ ห้างนาเต็มที ขณะที่แก ยืนสบายใจอยู่นั้นเสียงวิ่ง กรวมๆ ลุยห้วยมาซึ้งน้ำสูงแค่ข้อเท้า แกขยับตัวออกมาดู เห็นเป็น ตาสีเลย วิ่งหน้าตั้งหอบแหกๆมา ตะโกนเบาๆว่า หมีๆๆ แล้วแกก็วิ่งพรวดไปเลย พร้อมกับเสียง รองเท้าบูทผสมน้ำ ดังกรวบๆๆ
พรานแฟน ยังมึนงงอยู่ เสียงเอะอะของฝังโน้นก็ดังใกล้เข้ามา  พรานแฟน กำคอปืนหลวมๆ เลยเดินล่องห้วยมา  ไม่ทันพ้นโค้งวีรกรรมจึงเกิดขึ้น หมีเจ้ากรรมนั้นกระโดดสวบ ตกตุบมาข้างหน้าพอดีเจอกันตาต่อตาระยาไม่เกินสองเมตร ตัวใจพรานแฟนหล่นตุบไปที่ตาตุ่ม หมีนั้นพอเห็นพรานถนัดมัน ก็กระโจนเข้ามา ประชิด
ว่ากันว่าหมีนั้น ไม่ชอบดวงตามนุษย์ยิ่งนัก ถ้ามันมีโอกาสมันจะต้องตะบบหนังหัว ถลกเอามาปิดหน้าทุกครั้งไปไม่รู้เป็นเช่นไรเหมือนกันครั้งนี้ เจ้าหมี ก็หมายจะตะบบท้ายทอยพราน  ด้วยสัญชาติญาณการเอาตัวรอด พรานเลยยกเอาปืนขึ้นมากันพร้อมกระโดนหนี ผลคือ หมีตบปืนกระเด็นหมายเข้าไปในพง พรานแกเซไปเพราะแรงตบ หมีใหญ่ตบซ้ำอีกครั้ง คราวนี้ ถูกถากๆบริเวณหัวใหล่และแขนด้านหลังพรานทั้งเจ็บทั้งเซ ตั้งสติได้หมายวิ่งให้เร็วที่สุด หยัดตัวจะพุ่งสุดแรง ราวกับหมีตัวนั้นเดาทางคู่ชกของมันออก ตะปบเต็มแรงเข้ากลางหลังส่งผลให้(ตามที่ชาวบ้านเล่าลือคือ พรานแฟนขณะที่โดนตบนั้น ตัวปลิวข้ามห้วยไปเลย)ส่งผลให้พรานแฟนกระเด็นไปสลบคอพับอยู่ริมน้ำเคราะห์ดีที่ ไม่โดนตอไม้ข้างๆเสียบเอา หลังจากที่ตบพรานคว่ำไปแล้ว หมีควายตัวนั้นก็ยืนสองขาทำเสียงอักๆในลำคอ เห็นตัว V สีขาวชัดเจนมันขยับเดินก้าว สามขุมหมายจะซ้ำอีก
แต่เจ้าป่ายังใจดีอยู่ขณะที่หมียืนสองขานั้น พรานเซี่ยมผู้ที่อาวุธโสสุดและ วิ่งเร็วที่สุดในคณะก็กระโจนพรวดเข้ามาข้างหลังหมี เยื่องๆหน่อยไม่ถึง5 เมตร
เห็นเป้าหมายถนัดที่สุด พรานเซี่ยมจึงกดตูมลงไปด้วยปืนลูกซอง กระลูกแบบ OO Buck 9 เม็ด   ที่ตำแหน่งรักแร้แดง อันเป็นจุดตายของสัตว์หลายชนิด
ด้วยแรงปะทะของกระสุน ทั้ง 9เม็ด เม็ดละ 60 เกรน ความเร็วอยู่ที่  1,290  ฟุต/วินาที  ในหนึ่งเม็ดสร้างแรงปะทะเท่ากับ  221  ฟุต/ปอนด์  9 เม็ดเท่ากับ1989 ฟุต/ปอนด์ (หมายถึงสามารถยกของหนัก 1989 ปอนได้สูง1ฟุต ในหนึ่งวินาที)เจ้าหมีความตัวนั้น ทรุดกับพื้นทันทีร้อง อ๊าคๆๆๆ ยังกับวัวถูกเชือด ไม่ว่าใครที่ใหนได้ยินคงสยิวใจใช่น้อยเสียงมันดังไปทั้งห้วย   หมีทรุดแล้ว แต่ไม่นานนักมันก็ลุกขึ้นมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว จริงอยู่ตัวแหน่งรักแร้แดง อันเป็นจุดที่หัวใจตั้งอยู่นั้น ย่อมเป็นจุดตาย แต่ใครหละจะทราบครับ เป็นพรานก็จริงแต่ไม่ใช่ทุกคนจะเคยฆ่าหมีนี้ หัวใจหมี ใม่ได้ อยู่ตรงรักแร้แดง แต่มันอยู่ค่อนมาทางตอนกลางบริเวณแถบเอว ก็ไม่เคยเรียนมาก่อนจะทราบได้อย่างไรละครับ พี่น้อง งานนี้ ไอ่ถังยางมะตอนเคลื่อนที่ผลุดลุกขึ้นวิ่งกระเผลกเข้าไปในดงไม่ยอมสวนควันปืน อย่างที่มันชอบทำกัน ขณะพรานเซี่ยมรีบหักหางเหยี่ยวบรรจุกระสุนใหม่ก็บังเกิดเวรกำ สปริงตัวดีดปลอกกระสุนไม่ทำงานพรานเซี่ยมใจหายวาบ วิ่งหาที่แคะกระสุนให้วุ่นไป พรานเต่ากับพรานตุ๋ย วิ่งมาพอดีหมายจะซ้ำหมีให้อยู่แต่มันไม่อยู่เสียแล้ว เห็นแต่ก้นไว้ๆ วิ่งเข้าป่าไปแล้ว ยิงซ้ำคนละนัด คงจะถูกให้หรอก(ประชด)แต่เหนื่อสิ่งอื่นใด ทุกคนไม่สนใจหมีแล้ว ต่างมารุมล้อมร่างของพรานแฟนที่ นอนสลบคอพับ หลังจากที่พึ่ง ถูกหมัดขวาอย่างจัง ของ คู่ชกเจ้าหมีควาย ซึ้งน้ำหนักคงเกือบ250 กิโล ต่างพรานต่างงุนงง ไม่รู้จะทำเช่นไรดี ก็พากันแบก หามกันมาอย่างทุลักทุเล เพราะมันใกล้ห้างนาเต็มทีแล้ว ไม่เสียเวลาตัดไม้ทำเปล มาถึงก็โยนใส่รถไถ่วิ่งเข้าหมู่บ้านเลย ซึ้งห่างไปอีกแค่ 6-7 กิโลเองอ่อ ส่วนตาสีเลยหรือ ครับ รายนั้นไม่ต้องห่วง พอวิ่งหนีเอาโชคร้ายไปฝากพรานแฟนแล้ว ตัวแกก็วิ่งควบ รถจักรยาน ปั่นกลับบ้านชนิดที่ว่า Nairo Quintana  นักปั่นจักรยานระดับโลกไม่ได้กินฝุ่นแกเลยละกันพอ คณะเดินป่ากลบมาถึงหมู่บ้านก็นำตัว พรานแฟนใส่รถกระบะลุงนึกไปส่งโรงพยาบาลmyomu
เวลานั้น ประมาณ บ่ายสอง กว่าๆคนก็เล่ากันไปทั้งหมู่บ้านว่าไอ่แฟนโดนหมีกัด เข้าโรงบาล ช่วงนั้นชาวบ้านว่างเว้นการงาน เลยหยุดอยู่บ้านกันเยอะข่าวจึงไปเร็วกว่า จรวดอีกนาทีนั้น หนานเซี่ยมหรือพรานเซี่ยมถูกซักถามจากผู้คนเป็นการใหญ่ แกไม่ทันได้อธิบายอะไรทั้งนั้น เหล่าบุคคลที่เป็นพราน และบุคคลที่ทำตัวเป็นพราน ก็ระดมกำลังกัน ยังกะจะไปรบกับใคร ได้คนเกือบ 20 คนรถไถ่อีแต๊ก 5 คัน หมาล่าเนื้อที่ผอมแห้งอีก สองฝูง เพื่อจะไปล่าหมีเจ็บตัวเดียว   พรานเมือง หรือคุณตาผมก็ไม่พลาดงานนี้ บ่ายสามเศษ ทุกคนมาถึงจุดเกิดเหตุ หมาก็ทำหน้าที่ของมันอย่างดี ทุกคนไล่รอยไปอย่าง มืออาชีพ พร้อมกับเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวาย เสียงแว่วๆมาว่า ระวังยังโดนกันเองนะเว้ยไม่เกินช่วงโมงที่ตามกัน ก็ไปทันอยู่แอ่งน้ำเก่าๆแห่งหนึ่ง หมีมัน ยืนสู้หมา อยู่ที่นั้น เสียงหมาเห่าระงม ต่างฝ่ายต่างมาล้อมหมี จากนั้นก็เป็นเสียงปืน ชนิดป่าแต่ราวกับ ลอยกระทง แว่วเสียงปืนเสร็จก็เป็นเสียง เป่าโหวด หรือ เป่าไม่ไผ่ที่เป่าให้สัญญาณกันให้มารวมตัวกันที่ซากหมี ที่นอนสิ้น ฤทธิ์อยู่ในแอ่งเก่านั้น มันมาจากจุดที่ตบพรานแฟนไกลอยู่ สำหรับหมีเจ็บ
จะเอาไงกับหมี แว่วเสียงใครบางคน ในกลุ่มนั้นไอ่เซี่ยม มึงเป็นหัว มึงยิงคนแรกเอาไงวะ ” “มันคงขายได้หลายตังค์อยู่เผื่อไอ่แฟนมันเจ็บมากจะได้ช่วยค่ายาหนานเซี่ยมบอกเบาๆงั้นก็ชำแหละมันตรงนี้เลยละกัน ขี้เกียจห้ามวุ้ยใครบางคนบ่นมึนจะเอาดีมันไม้ไอ่เซี่ยมประโยคแรกที่ตาผมกล่าวเอาครับ ลุงถ้าจะเอาดีมึงต้องให้มันตายทิ้งไว้คืนหนึ่งก่อน แล้วค่อยผ่าเอาดี ตอนนี้ดีมันอยู่ในร่างกายส่วนต่างๆ ต้องรอสักคืนให้มันใหลกลับเข้าถุงก่อนพรุ่งนี้ ค่อยผ่าเอาจะได้ดีที่ใหญ่กว่าผ่าเอาตอนนี้ทิ้งไว้อย่างนี้มิเหมาะมั้งพี่เมืองพราน แก้วบอกมาเออก็ว่าเห้ยๆตัดไม้โว้ยหามหมี เอากลับทั้งแบบนี้แหละโวย ไปๆๆประโยคสุดท้ายเป็น คำพูดพรานทองที่ ตะโกนสั่งความ หนุ่มๆที่อ่อนกว่าแก….
พรานแฟน ไม่เป็นไรมาก ไปฟื้นตรงกลางทางไปโรงบาล แต่ก็ไปตรวจร่างกาย ไม่เป็นไรมาก หมอ ให้นอน 1 คืนที่โรงพบาบาลศรีศัชนาลัย ถือเป็นเรื่องที่ น่าตื่นเต้น และเล่าให้ตลกขบขันกันในวงเหล้าได้ว่า แกเคยดวลตัวต่อตัวกับหมีควายมาแล้ว
คนที่นั้นใครมีเอกลักษณ์หรือวีรกรรมอะไรก็จะเอามาเป็นชื่อสร้อย เช่นคนขี้โม้ขี้โวก็จะมีคำว่า โว ต่อท้ายเช่น ตุ๋ยโว เป็นต้น คราวนี้ เป็นตาแฟนที่ได้ฉายาหรือสร้อยต่อท้ายว่า แฟนหมี นับแต่นั้นมา..ขออุทิศเรื่องนี้ให้กับ คุณพ่อแฟน ขัดมูล ผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย วัณโรคครับเรื่องกระทิงผมติดไว้ก่อนนะครับ เอาเรื่องนี้ก่อน 555
ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบครับ ดันเต้ DANTE
ยาวมากกกวีรกรรม สุดยิ่งใหญ่ที่เป็นที่กล่าวขวัญ(ด้านตลกเฮฮา) ของชาวหมู่บ้านโปงตีนตั่ง และห้วยผาเวียงจะจดจำไปอีกนานแสนนาน เมื่อมีหนุ่มใหญ่วันฉกรรณ์ เข้าต่อกรกับหมียักย์ชนิดตัวต่อตัวห่างจากจุดแยกกันไม่ถึง 5 นาทีนัก กลุ่มพรานป่าก็ไปเจอ กับหนานสีเลย แกมาเก็บผักกูด อยู่ริมน้ำ ความจริงห้างนาแกก็ไม่ไกลจากจุดนั้นนัก พูดทักทายกันตามประสากลุ่มพรานก็เดินแยกไปขณะที่กลุ่มพราน นั้นกำลังลุยน้ำจะข้ามห้วย  พรานเซี่ยมและพรานเต่า ลงห้วยไปแล้ว อยู่กลางห้วยน้ำครึ่งเอว แต่พรานตุ๋ยเพรานที่อาวุโสน้อยที่สุดในกลุ่มยังยืนอยู่ริมน้ำ แกไปสะดุดตากับอะไรบางอย่างที่ กำลังเดินเลาะฝั่งมาเหมือนกัน พอพ้นพงหญ้าเห็นตัวถนัดเท่านั้นแหละครับ

แชร์ประสบการณ์หลงป่า ตอนที่ 3

แชร์ประสบการณ์หลงป่า ตอนที่ 3

เอาหละครับ หลังจากที่ห่างหายกันไปน๊านนาน ผมเพราะคอมผมเสียฮ่าๆ เอาละครับนอกเรื่องไปหลายโพสแล้ว ก็มาต่อกันที่จะทำยังไงเมื่อหลงป่า ประสบการณ์หลงป่านี้ผมบอกไว้ก่อนเลยนะครับไม่ใช่ประสบการณ์ของผมเเต่เป็นของ น้าคนหนึ่งที่ผมรู้จักเเละเคารพแก แกได้อณุญาติให้ผมนำเรื่องราวต่างๆเหล่านี้มาเเชร์แบ่งปันให้กับพี่น้องที่ผ่านมาได้อ่านได้เป็นวิทยาทานความรู้ในเวลาที่ได้ประสบเหตุการณ์จริงจะได้มีพื้นฐานในการเอาตัวรอดได้ หรือจะอ่านเอาสนุกเป็นบทความที่ให้ความเพลิดเพลินในยามว่างที่แวะเวียนเข้ามาในเวปนี้นะครับ เอาละทักทายกันพอสมควรเเล้วจัดเลยละครับเพื่อมิให้เสียนาฬิกา เอ้ย!เสียเวลาจัดไปครับ


ตอนที่ 3 

หลังจากที่ตรวจสอบสุขภาพโดยรวมเรียบร้อย ผมก็สวดมนต์และบริกรรมคาถาเพื่อความอุ่นใจและเป็นการสร้างกำลังใจให้ตัวเอง เพราะอย่างที่ผมเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ การที่จะเอาตัวรอดได้จากการหลงป่าเพียงลำพัง นอกจากมีทักษะแล้ว ยังต้องมีกำลังใจที่ดีด้วย เพราะจากที่ผมเคยได้ฟังถึงเรื่องราวเล้นลับในป่า เมื่อนึกถึงก็ทำให้ใจแป้วเอาเหมือนกัน ดังนั้นการที่ผมสวดมนต์บริกรรมคาถาก็สามารถช่วยในด้านของจิตใจยามอยู่คนเดียวในป่าได้พอสมควร จากนั้นผมก็ขึ้นเปลนอน ผมนำมีดพกเล่มที่ถนัดมือมานอนกอดเพื่อความอุ่นใจ เพราะถึงเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ มันก็มีส่วนช่วยให้ผมหลับตาลงได้ ผมนอนวางแผนการปฏิบัติไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ ว่าผมต้องทำอะไรบ่าง เพราะการมีแผนสำหรับวันต่อไปจะช่วยเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดให้เราได้เป็นอย่างดี สิ่งที่ผมนึกถึงเป็นอย่างแรกที่จะต้องทำก่อนในวันพรุ่งนี้ คือ การหาน้ำเติมกระติกให้เต็ม เพราะน้ำในกระติกของผมตอนนี้ เหลือไม่ถึง ๓ ใน ๔ ส่วนของกระติก ถือได้ว่าเข้าขั้นวิกิตแล้ว อย่างที่ ๒ ที่ต้องทำ คือ การหาอาหาร ถึงผมจะเหลือ ซุปอีก ๓ ซอง แต่เพราะวันนี้ผมยังไม่สามารถหาเต็นท์ได้เจอ ผมจึงต้องเก็บ ซุปทั้ง ๓ ซองนี้ไว้ใช้เมื่อยามจำเป็นอย่างที่ ๓ คือการออกตามหาเต็นท์อีกครั้ง แต่ถ้าหากยังไม่เจอ ผมต้องยกเลิกภาระกิจ แล้วหาทางออกจากป่าให้ได้ จากนั้นผมก็ม่อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการฝ่าดงมาในวันนี้ 
รุ่งเช้าเสียงนาฬิกาปลุกแห่งธรรมชาติก็ทำงานได้ตรงเวลาเช่นวันก่อนๆ เสียงไก่ป่าขันกับเสีงนกกาหว่าวร้องผมตืนขึ้นพร้อมเก็บข้าวของ และเปล เพราะวันนี้คงต้องอดอาหารไปก่อน ผมจิบน้ำในกระติกพอแก้กระหาย หลังจากนั้นผมก็นึกทบทวนแผนที่คิดไว้ก่อนนอนเมื่อคืน คือ หาน้ำ , หาอาหาร และ หาเต้น ในการหาน้ำ สำหรับผมไม่ใช่เรื่องยาก เพราะผมมีทักษะอยู่พอตัว หลักการที่ผมใช้ในวันนั้นคือการสังเกตุ และทำความเข้าใจในภูมิประเทศ แต่การหาอาหารนี่ซิ สำหรับผมอาจจะลำบากสักหน่อยในตอนนั้นระหวางเดินผมพบเห็ดขึ้นอยู่มากมาย แต่ผมไม่รู้จักเลยสักชนิด รู้แต่ว่าเห็ดบ่างชนิดมีพิษ ทำให้คนตายมาแล้วนักต่อนัก ดังนั้นอะไรที่ผมไม่รู้จัก หรือไม่แน่ใจว่ามันสามารถกินเข้าไปได้ ผมจะไม่มีวันเอาใส่ปากเด็ดขาด ในการทำกับดักสำหรับดักสัตว์เล็กก็ไม่เหมาะกับสถานการณ์ในวันนี้ เพราะสัตว์จะติดกับดักหรือไม่ติดนั้น มันแล้วแต่โชคของเรา และความซวยของสัตว์ อีกทั้งผมไม่ได้ปักหลักอยู่กับที่เป็นวันๆ เพราะต้องเดินออกตามหาแหลงน้ำ กับ เต็นท์ที่ยังหาไม่เจอ ดังนั้นคงเหลือวิธีการเดียวคือ การล่า ในการล่าผมต้องการแค่การอยู่รอด ดังนั้นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่จึงไม่ใช่เป้าหมาย ผมจะล่าแต่สัตว์เล็กเท่านั้น เช่น แมลง หนอนที่กินได้ นก หนู กระรอก หรือ งูที่มีขนาดไม่ใหญ่มากจนกินไม่หมด ต้องเป็นสัตว์ที่ผมสามารถล่าแล้ว พามันติดตัวไปได้ เพราะผมคงไม่แบกหมู่ป่าเป็นตัวๆเดินหาแหล่งน้ำแน่ๆ อีกทั้งผมเองก็หลงป่าอยู่คนเดียว สัตว์ป่าที่มีขนาดใหญ่ก็เกินความจำเป็น เมื่อนึกถึงการล่า ก็ต้องมีอุปกรณ์ ในกระเป๋าฉุกเฉินของผมมียางหนังสติ๊ก + หนังรองกระสุน พร้อมลูกเหล็กขนาด ๔ มิลลิเมตร อยู่ประมาณ ๒๐ - ๓๐ ลูก ขาดก็แต่ง่ามหนังสติ๊ก ผมเลยเดินหาไม้รอบๆที่พัก ที่มีลักษณะเป็นง่านพอเหมาะมือ เพื่อมาทำหนังสติ๊กสำหรับการล่าสัตว์เล็ก พอทำเสร็จผมเก็บก้อนกรวดที่มีอยู่รอบๆ และมีลักษณะค่อนข้างกลม มาใช้ในการทดสอบ และสร้างความเคยชิน เพื่อความแม่นยำในการยิง ต่อมาผมเหลือบดูที่นาฬิกาข้อมือ เวลาเกือบ ๘ โมงเช้าแล้ว ผมรีบดับกองไฟที่ใกล้มอดให้ดับสนิท แล้วออกเดินทางหาแหล่งน้ำ ในการหาแหล่งน้ำผมจะพยายามมองหาพื้นที่สูงๆ เพื่อง่ายต่อการสังเกตุการทางสายตาได้ในระยะไกลๆ เพื่อมองหาดงของต้นไม้ที่ชอบขึ้นอยู่ตามริมน้ำและมีลักษณะขึ้นเป็นดงใหญ่ๆ เช่น ต้นยางนา , ต้นกระทุ่มน้ำ , ต้นตะแบก ในการสังเกตุหาเราเห็นดงต้นไม้ตามที่ว่า ขึ้นอยู่ในพื้นที่ราบ หรือบริเวนหุบเขา ก็มันใจได้เลยว่า ไม่ไกลจากดงไม้นั้นจะมีแหล่งน้ำอยู่อย่างแน่นอน แต่หากพบมันอยู่บนพื้นที่ๆมีความลาดชัน ก็จะมีน้ำเหมือนกัน แต่มันจะอยู่ใต้ดินเราคงต้องเสียเวลาขุดหามัน เว้นแต่พื้นที่นั้นมันจะเป็นแอ่งกระทะ ในระหว่างที่ผมเดินเพื่อหาจุดที่จะขึ้นไปสังเกตุการหาพื้นที่ๆมีแหล่งน้ำ ผมก็จะพยายามมองสังเกตุรอบๆตัวเพื่อหา เถาวัลน้ำ และสัตว์ที่ผมสามารถใช้หนังสติ๊กยิงมันได้ไปด้วย เดินมาจนเกือบบ่ายโมง ผมก็ยังไม่พบแหล่งน้ำสักที น้ำในกระติกที่เหลือก็จวนเจียนจะหมด นกหนูก็ไม่โผล่ออกมาให้ยิงสักตัว ทั้งเหนื่อยทั้งหิวผมเริ่มมองหาที่เหมาะๆเพื่อที่จะนั่งพักเหนื่อยสัก ๑๐ - ๒๐ นาที ระหว่างที่ผมกำลังเดินไปที่จุดที่ผมตั้งใจจะหยุดพัก ผมก็เหลือบไปเห็น ต้นปอหูช้างขึ้นกันอยู่เป็นดงเลยที่เดียว และมันเป็นสัณญานบอกว่า มีแหล่งน้ำอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้ เพราะต้นปอหูช้างมันก็เป็นพืชที่ชอบขึ้นอยู่แถวๆที่มีน้ำเหมือนกัน ผมจึงเปลียนใจไม่หยุดพัก ผมเดินเข้าไปในดงต้นปอหูช้างทันที แล้วก็เป็นอย่างที่คาด ผมเจอทางน้ำเล็กๆ ผมหยุดเพื่อซุ่มดูอยู่สักระยะ เพราะทางน้ำเล็กๆ มันก็เป็นเหมือนจุดแวะพักดืมน้ำของสัตว์ต่างๆเหมือนกัน รวมถึงสัตว์นักล่าอย่างเสือดาว หรือเสือโคร่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีสัตว์ที่เป็นอันตรายซ้อนตัวอยู่ ผมจึงออกไปแล้วสำรวจน้ำในทางน้ำว่ามีลักษณะอย่างไร ต้องกรองก่อนหรือไม่ เมื่อสำรวจแล้วว่าน้ำใสดี ผมก็เอาน้ำในกระติกที่เหลือออกมาดืมให้หมด จากนั้นก็หาเศษไม้มาก่อไฟกองเล็กๆเพื่อต้มน้ำ ด้วยการใช้ก้นกระติกต้มแล้วกรอกลงกระติกที่ละครั้ง จนเต็มกระติก ในระหว่างการต้มน้ำผมจะไม่ถอดหรือปลดสำภาระใดๆออก และเตรียมพร้อมตื่นตัวอยู่เสมอ ผมต้องคอยระวังภัยจากสัตว์ป่าที่จะอาจจะเข้ามาดืมน้ำ เพราะบริเวณนั้นมีรอยเท้าสัตว์เต็มไปหมด โดยเฉพาะรอยเท้าหมูป่า และกวางที่อยู่กันเป็นฝูง ถึงจะเป็นกวางก็อันตรายหากต้องเจอมันทั้งฝูง และอยู่ในระยะประชิด จ่าฝูงมันต้องเล่นงานผมแน่ๆ การที่ไม่เอาอุปกรณ์ใดๆออกจากตัวเป็นการระวัง เผื่อผมต้องใส่ตีนหมาวิ่งหนีอะไรอีก จะได้ยังมีของที่จำเป็นใช้ในยามฉุกเฉิน เพราะหากผมเสียกระเป๋ายังชีพไปอีก ทีนี้คงต้องทำตัวย้อนเป็นมนุษย์ยุคหิน หาของมาประดิษกันให้วุ่นวายอีก เมื่อผมได้น้ำจนเต็มกระติกแล้ว ทีนี้ก็ถึงคราวที่ต้องออกหาเต็นท์พร้อมกับหาอาหารไปด้วยตามทางที่เดิน เพราะผมเหลือเวลาสำหรับวันนี้อีกไม่มาก ก็ใกล้จะถึงเวลาของการเตรียมตั้งแค้ม เดินออกมาจากทางน้ำหลายกิโล ผมยังไม่เจอ นก,หนู หรืออะไรที่กินได้ซักที วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร เหมือนว่าพวกสัตว์มันจะรู้ว่าผมมีหนังสติ๊กเลย พอเดินต่อไปสักพักผมก็เจอป่าไผ่ไม้รวก ผมนึกถึงหน่อไม้ขึ้นมาทันที จากนั้นก็เข้าไปหาได้มา ๕ - ๖ หน่อ ผมเอาใส่กระเป๋าข้างกางเกงไว้ ระหว่างที่กำลังหาต่อ ผมสังเกตุเห็นความเคลื่่อนไหวบริเวณก่อไผ่ ฝั่งตรงข้ามเลยเดินเข้าไปดู มันคือ งูหลาม ขนาดไม่ใหญ่ ขนาดตัวมันประมาณถ่านไฟฉายก้อนใหญ่ ยาวประมาณเมตรนึง และมันก็คืออาหารของผม พร้อมกับหน่อไม้ที่หาได้ ผมตัดหัวมันทิ่ง เพื่อให้แน่ใจว่ามันตายสนิทเพราะผมต้องเอามันพันคอไว้ในระหว่างการเดินออกตามหาเต็นท์ต่อ ผมเดินตามหาเต็นท์จนหมดเวลา ถึงเวลาที่ต้องตั้งแค้มแล้ว ผมยังไม่เห็นวี่แววของเต็นท์ หรือเส้นทางที่คุ้นหู คุ้นตาเลย หรือกระทั่งล่องรอยของมนุษย์ก็ไม่มี ผมหาทำเลเพื่อผูกเปลตั้งแค้มพัก และก่อกองไฟย่างงูและหน่อไม้ เมื่อผมผูกเปล และ ก่อไฟเสร็จ ผมก็เริ่มถลกหนังงูโดยวิธี ใช้มีดเล่มเล็กปักตรงเนื้อส่วนที่ตัดหัวทิ้งไปไว้กับต้นไม้ จากนั้นก็รูดหนังออกทางปลายหางงู แล้วจึงฟักเครื่องในออก โยนใส่ก่องไฟไป เราไม่ควรทิ้งซากสัตว์ที่ชำแหละ เพราะกลิ่นของมันจะไปไกลหลายกิโลเมตร และมันอาจจะเป็นสิ่งที่พาสัตว์กินซากอย่างหมาไน มาพบกับผมเป็นการส่วนตัว และผมไม่อยากเจอมัน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือเอาชิ้นส่วนของงูที่ผมไม่กินโยนใส่กองไฟไปซะดีกว่า ผมนำไม้ไผ่สดที่ผมตัดมาผ่าออก แล้วเอาเนื้องูโรยเกลือที่ผมมีมาในกระเป๋าอีกนิดหน่อย ขดเอาไม้ไผ่คีบตรงกลาง แล้วย่างไฟ ส่วนหน่อไม้ก็โยนใส่ไปในไฟเลย จากนั้นผมก็สำรวจสุขภาพตัวเองตามปกติ พร้อมฆ่าเวลาด้วยการเก็บก้อนกรวดมาซ้อมยิงหนังสติ๊ก เพื่อให้ชำนาญขึ้น แม่นยำขึ้น เพราะในการเดินต่อในครั้งหน้า ผมอาจจะอยู่ในสถานที่ๆไม่มีก้อนกรวดก็ได้ แล้วอาจต้องใช้ลูกเหล็กที่มีอยู่จำกัด ดังนั้นความแม่นยำเป็นสิ่งสำคัญ พอเนื้องู และ หน่อไม้สุก ผมเริ่มแกะหน่อไม้กินก่อน แต่หน่อไม้มันข่มเสียจนกินไม่ได้ แต่ยังดีที่มีเนื้องูหลาม ไม่งั้นวันนี้ผมคงต้องทนกินหน่อไม้ขมๆแน่ๆ ผมตัดเอาเนื้องูออกมากินประมาณครึ้งตัว ส่วนที่เหลือผมเอาอังไฟไว้ให้มันแห้ง เพื่อเก็บไว้กินได้ต่อในวันพรุ่งนี้ ส่วนหน่อไม้ ผมเอามาฉีกออกเป็นเส้นๆ ใส่ถงซิบที่ผมมีมาในกระเป๋า เอาเก็บไว้หากเจอแหล่งน้ำคราวต่อไป ผมจะได้เอามาต้มให้หายขม เมื่อผมกินเสร็จแล้ว ก็เตรียมตัวนอนพักเอาแรง แต่ในคืนวันนี้ ผมมีปัญหากับยุงและแมลงที่เยอะจนหน้าลำคาญ ผมจึงออกเก็บกิงไม้ที่มีใบไม้สดติดอยู่ แล้วขยายกองไฟออกมาอีกกองเอาไว้เหนือทางลมจากจุดที่ผมผูกเต็น ผมเอากิ่งไม่ที่มีใบไม้สดใส่กองไฟเพื่อให้เกิดควัน เพื่อไล่แมลง และยุง จากนั้นจึงขึ้นเปลนอน

ติดตามชมกันตอนต่อไปนะครับ
เอาหลังครับจนกันไปสำหรับตอนที่ 3 นะครับ ตื่นเต้นกันพอสมควรจากนี้เป็นประมวลภาพในเหตุการนี้นะครับจะได้ไม่ต้องเสียเวลาค้นข้อมูลฮ่าๆ เพราะบางอย่างท่านผู้อ่านก็ไม่รู้จักเอาละครับ มาดูรูปกันรูปนี้ไม่ใช่รู้จริงในเหตุการนะครับ เเต่เป็นรูปที่ยกตัวอย่างมาเพื่อให้เป็นความรู้เสริมเท่านั้นเอง

เถาวัลย์ น้ำ นะครับ








ปอหูช้างครับ







ตะเเบกครับ



งูหลามครับ

อันนี้ยางนาครับ



สุดท้ายต้นกระทุ่มน้ำครับ



ก็จบไปเเล้วนะครับสำหรับพาสนี้ เจอกันใหม่พาสหน้าตอนหน้าครับ ขอบคุณที่ติดตามกัน DANTE

น้ำจากต้นไผ่

น้ำจากต้นไผ่


เอาหละครับวันนี้เราจะมาดูวิธีหาน้ำจากต้นไผ่เมื่ออยู่ในป่า นอกจากจะใช้ดื่มได้แล้วนี้ยังสามารถใช้รักษาโรคและยังดีท็อคได้ด้วยนะครับโอ้โหสรรพคุณนี้ครอบจักวาล จริงๆ ดูได้จากในรูปเลยนะครับ เพราะว่าเมื่อเราเข้าป่าไปนั้น เราต้องใช้ไผ่ในการก่อไฟทำอาหาร ทำอาวุธและหลายๆอย่างเรียกว่าไผ่นี้ครอบจักวาลเลยจริงๆ ขนาดบินยังบินได้เลยจากไม้ไผ่ ก็ค็อปเตอร์ไม้ไผ่ของโดเรม่อนไงครับ 555 นอกเรื่องไปแล้ว เอาว่าเวลาเราหาที่พักพิงตั้งแคมป์เราย่อมมองหาต้นไผ่หรือกล้วยมาใช้เป็นอุปกรณ์ธรรมชาติในการเป็นตัวช่วยอำนวยความสะดวกอยู่แล้วไม่ว่าในด้านให้ๆวันนี้ ดันเต้ ก็เลยขอเสนอวิธีหาน้ำจากไผ่กันซะเลยเผื่อว่าที่ใหนขลาดแคลนน้ำหรือต้องการน้ำไผ่ครอบจักวาล 555 อันนี้จริงครับไม่ได้ล้อเล่น มาดูวิธีกันครับ


วิธีเเรกนะครับ


เวลาเป็นสิ่งสำคัญเพราะไผ่นั้นจะคายน้ำตอนช่วงดึก ดังนั้นเวลาที่เหมาะสมที่จะเอาน้ำจากต้นไผ่ก็คือ 1.00-3.00. เราจะใช้มีดหรือ คัดเตอร์ที่คมๆหน่อยตัดให้เป็นปากฉลามหรือเฉียงๆเหมือนในรูปแล้ว ใช้ถุงพลาสติดครอบไว้มัดให้แน่ รุ่งเช้าก็มาเก็บได้ครับ แต่ต้องเลือกไผ่ที่ไม่อ่อนหรือแก่เกินไปนัก ส่วนการเก็บน้ำไผ่จะเก็บในช่วงเช้าเวลาประมาณ 6-7 นาฬิกา ซึ่งจะได้น้ำไผ่ที่บริสุทธิ์ ข้อระวังที่สุดคือ ในระหว่างการตัดปลายยอดอย่าให้ลำต้นแตกอย่างเด็ดขาด เพราะน้ำไผ่จะไม่ไหลออกมาในส่วนที่ตัดไว้ แต่จะไปไหลออกในจุดที่แตก ปริมาณน้ำไผ่แต่ละกอจะได้ประมาณ 1-4 ลิตร ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของก่อไผ่ และสภาพอากาศ ยิ่งอากาศชื้นฝนตกมากไผ่ก็จะคายน้ำออกมามาก โดยสามารถทำได้กับไผ่ทุกสายพันธุ์ที่มีอายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป





วิธีที่สอง

ส่วนวิธีที่สองนั้น จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เยอะหน่อยครับ คือ สว่าน ดินน้ำมัน สายางหรือท่านผู้อ่านท่านได้สามารถเอาเหล็กเเหลมหรือมีเจาะได้นั้นก็สุดเเล้วแต่ความสามารถนะครับ
ขั้นเเรกใช้ สว่านเจาะต้นไผ่เลยครับ เเต่ต้องเจาะ ที่ใต้ข้อ ให้ทะลุขึ้นไปข้างบนของอีกปล้องเลยนะครับตามรูปครับ


จากนั้นใช้สายยางที่เตรียมไว้สอดเข้าไปครับ เเต่อย่าสอดเข้าไปเยอะนะครับ นิดเดียวพอเดี๋ยวเลยน้ำจะไม่ออกเอา


เเน่นอนว่าสายอาจหลุดได้ให้ใช้ดินน้ำมัน หรืออะไรเหนียวๆติดไว้ครับ


จากนั้นก็ใส่ถุง หรือผูกถุงให้ดีนะครับ อาจใช้เชือกมันติดกับข้อไผ่ด้านบนหรือ ใช้ถุงพลาสติกซ้อนกันเเล้วค่อยผูกก็ได้เเล้วเเต่ความสะดวกของเเต่ละพื้นที่ครับ 


เสร็จเรียบร้อยครับผม พรุ่งนี้เช้าก็สามารถมาเก็บน้ำไปใช้ได้เเล้วครับ 

จากนี้เป็นคุณประโยชน์เเละวิธีใช้น้ำไผ่ครับ

ประโยชน์อย่างแรกคือสามารถดื่มได้ แทนน้ำเปล่าในเวลาขลาดแคลนน้ำ และประโยชน์อย่างที่สองคือสามารถรักษาโรคได้นั้นแนะ!!น่าสนใจแล้วนะครับตอนนี้   น้ำในไผ่นั้นว่ากันว่าสามารถตรวจเช็คร่างกายได้ว่าเราเป็นนิ่วหรือไม่ และหากเป็นแล้วสามารถสลายนิ่วได้
วิธีเช็คคือ หากดื่มน้ำไผ่ทั้งวันนั้น ถ้าเกิดอาการฉี่ไม่ออกในตอนเย็น หรือ ฉี่แล้วแสบร้อน นั้นแสดงว่าคุณเป็นนิ้วครับ มันจะขับออกมาทางน้ำปัสสาวะเลย แต่ถ้าเราเป็นนิ้วแล้วไม่เกิดการขับออกมาในปัสสาวะมันก็จะค่อยๆสลายลงไปครับ   อย่างที่สอง คือปวดหลังยืนนานๆแล้วปวดหรือ ปวดแป๊ปๆนั้น เกิดจากนิ่วในไต ทำให้ปวดหลัง แต่ถ้าฉี่บ่อยตอนกลางคืนเกิดจากนิ้วในถุงน้ำดี หรือระบบทางเดินปัสสาสวะ น้ำไผ่ช่วยได้ครับ นั้นแนะ สรรพคุณยังไม่หมดนะครับ ยังมีอีกคือ แก้ไข้
ไข้ป่า มาลาเลีย ช่วยได้ครับ แม้แต่ประจำปี เอ้ย!! ประจำเดือนมาไม่ปรกติของสาวๆก็ช่วยได้ครับ
ต่อมาโอ้โห่ !!ยังครับยังไม่หมด สามารถใช้ ล้างหน้าให้ผิวสวยได้ด้วย และยังใช้ล้างหมึกปากกา หรือปากกาเมจิก็สามารถล้างได้ เพราะเค้ามีคุณสมบัติ ชะล้างสารพิษครับ
ใช้ล้างผักครับอันนี้แน่นอนเลย สุดยอดมาก น้ำไผ่นั้นมี ฤทธฺ์ เป็นกรด ค่า ps นั้นอยู่ที่ 5-6 ในตอนเก็บมาแรกๆ แต่เมื่อแช่ตู้เย็นแล้วจะเหลือที่ 4-5 ps ครับ
น้ำไผ่นั้นถ้าจะให้ดีก็ดื่มตอนนั้นเลยครับ เพราะมันไม่สามารถเก็บไว้ได้ หากคิดจะเก็บไว้ ก็ต้องแช่ตู้เย็นอย่างเดียวครับ หากอยู่ในอุณภูมิปรกติ จะอยู่ได้แค่ 4-5 ชั่วโมงเท่านั้นและจะเริ่มมีรถเปรี้ยวเพราะเค้ามี จุลินทรีย์ สูงมากหากเก็บไว้ในตู้เย็นก็ไม่ควรจะเกิน 3-4 วันครับ หากใครเป็นนิ่วก็ควรดื่มบ่อยๆนะครับ แต่สำหรับบางคนที่ดื่มแล้ว ไม่เกิดอะไรขึ้นเลย ผมก็ยินดีด้วยครับ ร่างกายคุณปรกติ
 
จบแล้วนะครับเรียกได้ว่าต้นไผ่นี้มีประโยชน์จริงๆเลย นี้คือความรู้เล็กๆน้อยเป็นภูมิปัญญาโบราณที่ ผมได้ศึกษาแล้วน้ำมาให้ท่านได้อ่าน บทความนี้จะพอมีประโยชน์ ต่อท่านบ้างไม่มากก็น้อย ขอบคุณที่ติดตามกันครับ DANTE



ประสบการณ์หลงป่า ตอนที่ 2

ประสบการณ์หลงป่า ตอนที่ 2

จากที่เราเล่าถึง เรื่องตัวต่อกันมาเเล้วนะครับ เราก็จะมาพูดถึงการหลงป่าของ น้าทอมกันต่อครับซึ่งในตอนนี้ เป็นช่วงหลังจากตอนที่เเล้วครับ เรามาดูกันซิว่าอันตรายต่างๆเเละวิธีเอาตัวรอดเป็นอย่างไรบ้าง เชิญครับ
นี้คือรูปอุปกรณ์ของน้าทอม นะครับ เเละรูปสัตว์ต่างๆ






เริ่มกันเลยครับ

ตอนที่ 2 
ก่อนที่จะขึ้นนอนบนเปล เพื่อพักผ่อน ผมก็นึกถึงสิ่งที่หมอป่าแห่งห้วยขาแข้งเล่าให้ฟังว่า หากเราจำเป็นต้องพักแรมในป่าโดยที่ไม่สามารถก่อกองไฟได้ ให้ใช้วิธีสร้างอนาเขตแบบสัตว์ โดยการฉี่รดโคนต้นไม้ เพราะในฉี่ของผู้ชายจะมี ซีโรโมน ที่สัตว์ได้กลิ่น แล้วจะไม่กล้าเข้ามาในบริเวณ เพราะธรรมชาติ สัตว์ป่าจะกลัวมนุษย์มาก ผมก็เลยมองหาจุดที่คาดว่า อาจเป็นเส้นทางที่สัตว์จะเดินเข้ามายังที่ ที่ผมผูกเปลนอน แล้วก็ไปปฏิบัติการสร้างอนาเขตโดยทันที่ แต่ผมไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ขอขมาก่อนทำเพราะเป็นสิ่งที่คนไทยถือ เมื่อเสร็จ ผมกลับมาขึ้นเปลนอน แต่ผมก็หลับได้ไม่เต็มตา เพราะผลจากการละเมิดกฎของเวลา การตั้งแค้ม ผมไม่มีกองไฟช่วยให้อุ่นใจ หรืออุ่นกาย เพราะในป่าแห่งนี้ถึงจะเป็นป่าร้อนชื้น แต่กลางคืนมันก็หนาวอย่าบอกใคร ได้แต่เพิ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ติดตัวมาขอให้พ้นคืนนี้ไป อย่างปลอดภัย เพราะการเข้าป่าแห่งนี้ของผม เป็นการเข้ามาเยือนเป็นครั้งแรก 
แต่สิ่งที่ทำให้อุ่นใจ คือท้องฟ้าที่เปิด ดวงดาวในป่าสวยมาก พอที่จะทำให้เราคลายความวิตกกังวลไปได้ จากนั้นผมก็หลับ รู้ซึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงของไก่ป่า และนกกาหว่าวร้อง อากาศในป่ายามเช้าช่างสวยงามสดใส ผมรีบลุก แล้วแต่งกายเก็บเปลม้วนมัดติดกับเข็มขัดด้านหลังของกระเป๋าฉุกเฉิน ผมเก็บกิ่งไม้แห้งบริเวณรอบๆ เพื่อก่อกองไฟเล็กๆ พอต้มซุปข้าวโพดที่มีมา เติมพลังก่อนออกเดินหาเต็นท์อีกครั้ง เพื่อที่จะไปต่อให้ถึงต้นน้ำของแม่น้ำเพรชบุรีให้ได้ ตามที่ได้ตั้งใจไว้ หลังจากกินซุปหมดและดับไฟ ด้วยวิธีการใช้ดินกลบ แล้วใช้มือแตะเพื่อให้แน่ใจว่าไฟดับดีแล้ว เพราะหากไฟยังไม่ดับ มันอาจเป็นต้นเหตุทำให้เกิดไฟป่าได้ (ดังนั้นที่ผมเคยบอกว่า ขอให้เที่ยวป่าอย่างมีวินัย เพราะวินัยเป็นสิ่งสำคัญ และการดับกองไฟให้สนิท ก็เป็นการรักษาวินัยที่สำคัญ ) ผมทำการสำรวจน้ำดืมในกระติก ว่าต่ำกว่าปริมาณที่ปลอดภัยหรือไม่ เพราะที่เดินมาเมื่อวาน ผมยังไม่เจอแหล่งน้ำเลย เมื่อสำรวจน้ำในกระติกว่ายังมีปริมาณที่ยังไม่ถึงขั้นอันตราย ผมก็เริ่มออกตามหาเต็นท์ โดยการเดินย้อนทิศทางที่เริ่มเดินเข้าป่ามา แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด ด้วยว่าป่าที่รกทึบ ยากต่อการดูทิศทาง และสั่งเกตุจุดเป้าหมาย ที่เราใช้จับทิศทาง ก็มีระยะที่สั้นลงไปด้วย เพราะความหนาแน่นของพุ่มไม้ใหญ่น้อย ทำให้การเดินทางยากลำบากยิ่งขึ้น เพราะการเบิกทางในป่าที่รกทึบเป็นอะไรที่ต้องใช้แรงกำลังมาก อีกทั้งเสี่ยงกับการได้รับอันตรายจากสัตว์และแมลงมีพิษ ดังนั้นมันจึงไม่เหมาะกับคนที่กำลังหลงป่า แต่จะทำไงได้ เพราะไม่ว่าจะซ้าย จะขวา หรือข้างหน้าก็รกเหมือนๆกัน ไม่มีทางอื่น นอกจากต้องลุยไปตามทิศทางที่วางไว้ ผมจึงมองหากิ่งไม้ หรือต้นไม้ขนาดเหมาะมือเพื่อทำไม้เท้า ตัดให้มีความยาวประมาณเมตรห้าสิบเซ็น ประมาณ สามในสี่ส่วนของความสูงของผม จากนั้นใช้มีดผ่าตรงส่วนที่หนา ให้แยกออก แล้วเอามีดอีกเล่มมายัดลงไป ใช้เชือดมัดให้แน่น เพื่อทำเป็นหอก ส่วนปลายไม้เวลาเดินในที่รกก็ใช้ค้ำไปทางด้านหน้าเพื่อไล่สัตว์มีพิษ ก่อนที่จะก้าวเท้าไป เพราะหากไม่ทำเช่นนี้ เกิดก้าวเท้าไปเหยียบเอางูเห่าเข้าละก็ คงเป็นศพแน่ๆ ส่วนปลายอีกด้านที่ติดมีดไว้ เพราะหากเจอหมีควายเข้า หมดโอกาสหนี ต้องตั้งหลักสู่ เพราะก่อนหน้าที่จะมาเจอด่านป่าทึบนี้ ผมเจอกระจุกขน ขาดว่าหน้าจะเป็นของหมีควาย ติดอยู่กับเปลือกไม้ สูงในระดับหน้าอกของผมพอดี ผมรู้โดยทันทีว่า ตรงนี้ ต้นไม้ต้นนี้หมีควายตัวสูงมากกว่า เมตรห้าสิบเซ็น มันเอาหลังมาถูเอาไว้ เพราะหากเป็น หมีหมา หรือ หมีคน ความสูงของมันจะไม่เกินเมตรสามสิบเซ็น แต่รอยเท้าของมันมุ่งหน้าไปทิศอื่น ถึงมันจะไปทิศทางอื่นก็ตาม ด้วยนิสัยของหมีควายนั้น เป็นสัตว์ที่หวงถิ่น และผมเองก็กำลังอยู่ในถิ่นของมันซะด้วย แต่ถ้าไม่เจอกันซึ่งหน้า มันจะไม่ตามมาเล่นงานเรา เพราะตัวมันเองก็กลัวคนเช่นกัน ดีงนั้นเวลาเดิน ผมต้องส่งเสียไปเลื่อยๆ เพื่อให้หมีเป็นฝ่ายเลี่ยงไป เดินฝ่าดงก็เหนื่อยพอแรงแล้ว ยังต้องแหกปากไล่หมีอีก เดินได้ไม่ถึงกิโล ผมก็หมดแรง ต้องหาที่หยุดพักเพื่อกินเพื่อเพิ่มพลังงาน และที่สำคัญ ต้องเป็นทำเลที่ปลอดภัย จากหมีควายคือสถานที่ ที่ผมสามารถตรวจการได้โดยรอบ เพราะในที่ๆเราพบร่องรอยของสัตว์ที่มีความดุร้าย จะหยุดพักสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เมื่อผมหาทำเลที่เหมาะๆได้แล้ว ผมจึงนั่งพัก แล้วนำถั่วที่เหลืออีกถุงมากินกับน้ำผึ้งอีกนิดหน่อย เพราะซุปที่เหลืออีดห้าซอง ยังไม่เหมาะที่จะต้มตอนนี้ เพราะกลิ่นของซุป จะลอยไปเข้าจมูกหมีควาย แล้วหมีควายมันคงไม่รอช้า มันต้องเดินทางมาร่วมแจมกับผมแน่ หลังจากพักจนหายเหนื่อยพอสมควรแล้ว ก็ต้องรีบไปต่อ เพราะผมไม่ยากค้างคืนที่นี่ โดยมีหมีควายอยู่ใกล้ๆตัว เบิกทางถางดงมาได้สองกิโลเมตรกว่าๆ ผมก็เจอป่าที่โป่งมากขึ้น พอเห็นแสงตะวันยามบ่าย ผมมองที่นาฬิกาข้อมือ เวลาเกือบบ่ายสองโมงแล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววของเต็นท์ หรือ ทางที่คุ้นตาเลย ประกอบกับการเบิกทางฝ่าดง มันเป็นอะไรที่กินแรงมาก วันนี้คงต้องหยุดพักเร็วขึ้นหน่อย ผมเริ่มสำรวจพื้นที่หาทำเลผูกเต้นนอน หลังจากเจอทำเลเหมาะๆผมก็เริ่มสำรวจร่องรอยของสัตว์อันตรายพร้อมกับเก็บฟืนไปด้วย เมื่อทำการสำรวจสิ่งต่างๆพร้อมกับเก็บฟืนมาได้มากพอ ผมก็เริ่มก่อกองไฟ สำรวจสุขภาพตัวเอง ถอดรองเท้าออกดู ผมก็เจอปาตี้เล็กๆของหมู่ทาก สองสามตัว ที่กำลังดูดเลือดที่เหนือข้อเท้าขวาของผมซะตัวเป่งกันเลยที่เดียว ข้างซ้ายก็เช่นกัน สนุกสนานกันอยู่สองตัว ผมหยิบบุหรี่มาจุดสูบไป แล้วก็เอาบุหรี่จี้มันทีละตัว จนมันหลุดไปหมด แต่ด้วยความที่มันดูดเลือดผมมานาน และในน้ำลายของตัวทาก มันมีสารชนิดนึงที่หยุดกาาแข็งตัวของเลือดทำให้ บริเวนรอยที่มันดูมีเลือดซึมออกมา และกลิ่นเลือดก็ไม่เป็นผลดี หากคุณต้องอยู่ตัวคนเดียวในป่า ผมเลยเอาบุหรี่ที่สูบไปแล้วครึ่งมวน แกะเอายาเส้นข้างในมาผสมน้ำนิดหน่อย พอให้เปียก แล้วเอาไปแปะไว้บริเวนที่มีเลือดซึม เพราะยาเส้นมีสารที่ช่วยให่เลือดแข็งตัว ช่วยในการห้ามเลือดได้ จากนั้นก็นำซุปเห็ดออกมาต้มกินสองซอง เพราะวันนี้ใช้พลังงานไปมาก เมื่อเลือดที่ซึมหยุด ผมก็เอาชุดทำแผลในกระเป๋ายังชีพฉุกเฉิน เอายาเบนตาดีนมาทาเพื่อฆ่าเชื่อ แล้วจึงใส่ถุงเท้าสำรองอีกคู่ แล้วเอาไม้แห้งท่อนใหญ่ประมาณต้นขา วางพาดบนกองไฟเพื่อให้กองไฟอยู่ได้นานๆ ปัญหาของผมอีกอย่างที่กำลังจะตามมาในวันพรุ่งนี้ คือน้ำดืมในกระติกเหลือน้อยเข้าขั้นวิกิต ดังนั้นในวันพรุ่งนี้สิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับแรกคือหาแหล่งน้ำเพื่อเติมน้ำในกระติกให้เต็ม สำหรับคืนที่สองนี้ ผมหลับสนิทเพราะความเหนื่อยล้าจากการเบิกทางฝ่าดง..
และนี้คือ เฟสของน้าทอมนะครับพระเอกของเรื่องนี้ ซึ่งต้องขอบพระคุณอย่างสูงที่ให้ยืมเรื่องราวเหล่านี้มาเผยเเพร่ เพื่อเป็นประโยชน์ของผู้ที่อ่านเเละศึกษามันครับ
https://www.facebook.com/profile.php?id=100001055300017&fref=ts

จบกันไปนะครับสำหรับตอนที่สอง เเละตอนที่สามจะมาในเร็วๆนี้ครับผม ขอบคุณที่ติดตาม DANTE



เรื่อง ต่อๆ ตอนที่สอง

เรื่อง ต่อๆ ตอนที่สอง

    ต่อจากเรื่องที่แล้วเลยนะครับต่อหัวเสือสุดอันตรายผ่านไปแล้วถึงตาเจ้าต่อหลุ่มที่อันตรายไม่เเพ้กันเลยครับเจ้านี้เกเรมากกว่าอีกนะครับเรียกว่าเกิดมาเพื่อล่าโดยตรงมันชอบพาสมัครพรรคพวกไปโจมตีรังต่ออื่นๆด้วยกันเองเเล้วขโมยอาการจับลูกเขามากินอีกนิ โถ่ๆอะไรจะมาณนั้นมาลองดูกันครับ


หน้าตาแบบนี้ครับ แทบเเยกไม่ออกระหว่างต่อหลุมกับต่อหัวเสือนะครับ เเต่ดูดีๆครับมีส่วนสังเกตุอยู่

     
เห็นจุดสังเกตุแล้วใช่ไม้ครับ ที่ลายตรงปล้องท้องนั้นเองต่อหัวเสือจะมีลายสีส้มมากกว่าครับ สอง-สามเลยเเล้วเเต่สายพันธุ์ แต่ขณะที่ต่อหลุ่มจะมีเพียงลายเดียวครับผม


ต่อหลุ่ม ชื่อวิทยาศาสตร์คือ         Vespa Tropica
โดยปกติเจ้าต่อหลุมนี่จะมีขนาดใหญ่กว่าต่อหัวเสือนะครับ...ขนาดลำตัวโดยทั่วไปยาวกว่ากันมาก
  ต่อหลุม ปกติจะสร้างรังในโพรงดินครับ ต่างจากต่อหัวเสือที่จะสร้างรังตามต้นไม้หรือบ้านเรือนนะครับ
ที่อาศัยเค้าคือ ป่าเบญจพรรณ ป่าโปร่ง และพบได้ทั่วไป พูดง่ายๆก็คือเช่นเดียวกับต่อหัวเสือครับ ต่างกันที่ขนาดที่อยู่อาศัยเท่านั้นครับ
นี้ครับ ส่วนสังเกตุ จากพันธุ์หัวเสือ กับต่อหลุ่ม ต่อหลุ่มจะตัวใหญ่กว่าและมีสีส้มปล้องกลางปล้องเดียวในส่วนท้อง เเต่ในขณะที่เจ้าหัวเสือมีสีส้มสองปล้องคือตรงกลางท้องกลับปล้องติดกับอกครับ ก็เรียกได้ว่าพอจะเข้าใจเเละแยกออกแล้วนะครับกับสองชนิดนี้
จากนี้จะพูดถึงประสบการณ์ที่มีคนเจอเจ้าตัวต่อพวกนี้มากับตัวครับ เรียกว่าเจ็บจี๊ดเผ็ดร้อนกันเลยที่เดียว โพสขึ้นที่เพจอาหารและสุขภาพนะครับ 
ลองอ่านกันดูเพื่อเป็นความรู้นำไปใช้ได้จริงครับ


        “ ต่อหัวเสือ ” เป็นแมลงอันตราย ลักษณะของลำตัวมี สีดำ ปีกสีน้ำตาล ท้องมีแถบสีส้มปนเหลือง (คล้ายๆลายเสือ) มีขนาดลำตัวยาว 3.00-3.50 เซนติเมตร
ต่อหัวเสือ ในไทยของเรา พบได้ทั่วทุกภาค พี่น้องอีสานเรียกว่า ต่อนอนเว็น (ต่อนอนกลางวัน) เพราะต่อหัวเสือนั้นกลางวัน มันจะนอนซ่อนตัวอยู่ในรัง และเริ่มออกหากินในเวลากลางคืน พี่น้องทางใต้เรียกมันว่า “ต่อรัดพัดผ้าแดง” ก็คงดูจากรูปร่างสีสันในตัวของมัน ที่เหมือนเอาผ้าแดงๆมาพันคอไว้
วิธีการหากินของตัวต่อจะเข้าไปต่อยตัวหนอนให้ สลบแล้วจึงอุ้มตัวหนอนนั้นมาวางไว้ตามช่องภายในรังเพื่อเป็น อาหารลูกอ่อนของตัวต่อที่จะเกิดขึ้นมา อาหารของต่อส่วนใหญ่จะเป็นพวกเนื้อสัตว์ แต่มันก็ยังกินน้ำหวานเพิ่มเติมด้วยเพื่อใช้ในการเผาผลาญให้เกิดพลังงานแก่ร่างกาย แหล่งที่เป็นพลังงานสำคัญของต่อคือ น้ำหวานจากผลไม้สุกและเกสรดอกไม้ ในการกินเกสรดอกไม้ของต่อหรือผึ้งก็จะเป็นประโยชน์กับต้นไม้ เพราะเป็นการช่วยผสมเกสรให้ดอกไม้ไปในตัว
อาวุธร้ายของมันก็คือ เหล็กใน (sting) ซึ่งจะซ่อนอยู่ตรงปลายสุดของลำตัว ที่แหลมเหมือนเข็มฉีดยา ก็คล้ายกับผึ้ง แต่ที่น่ากลัวกว่าก็คือ ในขณะที่ผึ้งจะต่อยได้แค่ครั้งเดียวแล้วก็ฝังเหล็กในไว้บนผิวหนังแล้วตัวมันเองก็ตาย (เหมือนพวกระเบิดพลีชีพไม่มีผิด!) แต่เจ้า ต่อหัวเสือ นั้น…เมื่อมันต่อย มันจะไม่ฝังเหล็กในทันที แต่จะถอนเหล็กในออกอย่างรวดเร็ว แล้วต่อยซ้ำๆ กันได้หลายๆ ครั้งติดต่อกัน(เหมือนต่อยรัวๆๆๆ)
ใครที่โดน ต่อหัวเสือ ถึงกับรุมเล่นงาน จะมีอาการหนักหนาสาหัสเพียงใด นั้น ขึ้นอยู่กับชนิดของต่อที่ต่อย ปริมาณพิษที่ได้รับ และจำนวนครั้งที่โดนต่อต่อย
แต่ที่สำคัญก็คือ แต่ละคนมีอาการแพ้พิษในระดับที่ไม่เท่ากัน ในขณะที่บางคนเพียงเจ็บคันและบวมเล็กน้อย แต่บางคนนอกจากจะปวดบวมมากแล้ว เป็นลมพิษ เกิดปฏิกิริยารุนแรง ถึงขั้นหายใจไม่ออก ช็อคและเสียชีวิตได้
คนที่โชคดีที่ไม่แพ้แมลง (non-allergic) ก็อาจแค่คันตรงบริเวณผิวหนังที่ถูกพิษ หรือเป็นตุ่มบวม เจ็บ แดง ร้อน แต่แบบนี้เป็นอาการไม่รุนแรงไม่น่ากลัว อาการรุนแรงสองแบบที่เรากลัวเป็นอาการภูมิแพ้ คือเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายต่อพิษของมันที่แทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาตามระบบต่างๆทั่วร่างกาย ที่อันตรายคือทำให้กล่องเสียง หลอดลมบวม เป็นเหตุให้ทางเดินหายใจอุดตัน หรือมีอาการหอบหืดเฉียบพลัน อีกอาการหนึ่งคือทำให้เกิดอาการช็อค จากหลอดเลือดส่วนปลายขยายตัวเฉียบพลัน อาการรุนแรงทั้งสองแบบนี้ไม่ต้องต่อยหลายตัว ไม่กี่ตัวก็เกิดได้เพราะเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกาย อาการรุนแรงอีกแบบหนึ่งคือการถูกต่อยหลายๆตัว ได้รับพิษจำนวนมากที่เข้าสู่ร่างกาย จะเกิดผลเสียต่ออวัยวะต่างๆเช่นเกิดไตวายได้ เป็นต้น
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อโดนตัว ต่อหัวเสือ ต่อย
ใช้กระดาษหรือแผ่นพลาสติกแข็ง เช่น บัตรเติมเงิน บัตรเอทีเอ็ม กดข้างๆเพื่อเอาเหล็กในออก ซึ่งจะช่วยลดปริมาณพิษลง และยังป้องกันแพ้อย่างรุนแรงได้
เอาถุงน้ำแข็ง หรือแผ่นประคบเย็น ประคบแผลเพื่อลดความเจ็บปวด และอาการบวม
ใช้ครีมสเตียรอยด์เช่น 1% ไฮโดรคอร์ติโซน ทาบริเวณที่ถูกกัดวันละสามครั้งจนกว่าจะหาย
กินยาแก้แพ้ ประเภทแอนตี้ฮิสตามีน เช่นไดเฟนไฮดรามีน
กรณีที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง จะมีอาการหน้าบวม ตาบวม ริมฝีปากบวม บ่งบอกว่า เยื่อบุทางเดินหายใจภายในจะบวมคล้ายๆกัน จะมีอาการหายใจเสียงดัง หายใจลำบาก หรือหน้าซีด ตัวเย็น ไม่ค่อยรู้ตัว เป็นลม กรณีเช่นนี้ต้องรีบนำส่ง สถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุดโดยด่วนเลยนะครับ
หากในกรณีที่มีอาการรุนแรงคุณหมอจะให้ยาฉีดอดรีนาลีนทันทีเพื่อลดอาการบวมของทางเดินหายใจ
ป้องกันอย่างไร จึงปลอดภัยจาก ต่อหัวเสือ ?
ที่สำคัญที่สุดก็คือ คุณพ่อคุณแม่ต้องสอนลูกๆหลานๆว่า พบรัง ต่อ แตน หรือผึ้งที่ไหนก็ตาม ห้ามเขี่ย-แหย่หรือทำลายรังของมันอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นก็จะเกิดเหตุร้ายอย่างที่เป็นข่าวมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน (หากไม่รู้วิธีจริง อย่าทำลายรังเองโดยเด็ดขาด การกำจัดเผาทำลายรังปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญเถิด)
อย่าเลือกอาศัยในบริเวณที่มีคนเพาะรังต่อเป็นอาชีพ เพราะเหตุว่า มีคนไม่น้อยเลยที่นิยมหม่ำตัวอ่อนของต่อ เปิบพิสดารเมนูนี้มี ทั้งย่าง-เผาไฟ-นึ่ง หรือเคี้ยวกันดิบๆ (ว่ากันว่ารสชาติหวานมันยิ่งนัก) แถมราคารังละ 300 บาท จึงมีคนยอมเสี่ยงภัยยึดอาชีพดังกล่าว เพราะเห็นว่าคู่แข่งน้อย แถมไม่ต้องลงทุนเพราะไม่ต้องให้อาหาร บางบ้านจึงเพาะรังต่อไว้ถึง 20 -30 รังกันเลย
ที่เล่ามาทั้งหมด อาจทำให้เห็นว่าเจ้าต่อหัวเสือคือซาตานที่ไม่ควรผุดขึ้นมาในโลกนี้เลย ซึ่งที่จริงแล้วโลกเราก็ได้คุณประโยชน์จากพวกมันไม่ใช่น้อยๆ ทั้งภาคการเกษตรกรรม ที่กำจัดศัตรูพืชผักที่ปลูก เช่น เพลี้ยอ่อน หนอนผีเสื้อ ตัวอ่อนตั๊กแตน โดยมันจะจับแมลงเหล่านี้กินเป็นอาหาร (แถมยังขนกลับไปกินที่รังอีกด้วย) ในภาคระบบนิเวศน์ สร้างสมดุลให้ระบบด้วยการ กินซากเนื้อสัตว์ แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่มิตรรักที่แสนเชื่องของมนุษย์อย่างแน่นอน
หวังว่าทุกคนจะได้ประโยชน์จากความรู้ที่นำมาฝากกัน ทางที่ดี
เราควรอยู่ให้ห่างจากบริเวณที่มีรังต่อจะดีต่อเรามากที่สุด

จบกันเเล้วนะครับสำหรับเรื่องต่อทั้งสองตอนหวังว่าท่านผู้ติดตามและอ่านคงจะได้รับประโยชน์ไม่มากก็น้อย สุดท้ายนี้ขอขอบคุณที่ติดตามครับ DANTE